.
สหรัฐฯ-รัสเซีย เดินหน้า "ดีลลับ" มองข้ามยูเครน: เล็งจับคู่ยุทธศาสตร์ใหม่-ฟื้นฟูเศรษฐกิจพ่วงลงทุนอาร์กติก ขณะ "เซเลนสกี" ยังติดหล่มปมดินแดน
25-12-2025
Asia Times รายงานว่า ความพยายามผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย (US-Russia detente) กำลังก้าวเดินต่อไปไม่ว่าประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelensky) จะเห็นด้วยหรือไม่ ขณะที่ผู้นำยูเครนยังยึดจุดยืนแข็งกร้าวเรื่องดินแดน ฝั่งคณะเจรจาสายธุรกิจของสหรัฐฯ และรัสเซียกลับมุ่งเป้าไปที่การสร้างความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบทวิภาคีระหว่างสองประเทศ
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่การเจรจาเรื่องยูเครนจะมาติดค้างอีกครั้งที่ปมดินแดน เพราะหากมองให้ลึกลงไปก็จะเห็นปัญหาชัดเจน เมื่อไม่นานมานี้ เจดี แวนซ์ (J.D. Vance) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวย้ำว่า “ประเด็นที่ยากที่สุดไม่เคยถูกแก้ไข รวมถึงคำถามว่าใครจะควบคุมภูมิภาคดอนบาส (Donbas)”
แม้ฝั่งสหรัฐฯ จะประเมินว่ายังมีเหตุผลให้ “มองในเชิงบวกอย่างระมัดระวัง” แต่เสียงจากยุโรปบางส่วนก้าวไปไกลกว่านั้น โดยยืนยันว่าการเจรจาเริ่มออกดอกผลแล้ว อเล็กซานเดอร์ สตับบ์ (Alexander Stubb) ประธานาธิบดีฟินแลนด์ ระบุว่า “ตอนนี้เราเข้าใกล้ข้อตกลงมากกว่าช่วงเวลาใดที่ผ่านมา”
บททดสอบสำคัญกำลังรออยู่เมื่อฝ่ายรัสเซียได้รับฟังการสรุปผลการหารือที่จัดขึ้นในไมอามี ขณะเดียวกัน สตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) ทูตพิเศษทำเนียบขาว ออกแถลงการณ์ร่วมกับรูสเตม อูเมรอฟ (Rustem Umerov) เลขาธิการสภาความมั่นคงยูเครน โดยระบุว่าการเจรจาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม เป็นการหารือที่ “เกิดผลและสร้างสรรค์” พร้อมย้ำว่าเนื้อหาสนทนา “มุ่งเน้นกรอบยุทธศาสตร์ร่วมกันระหว่างยูเครน สหรัฐฯ และยุโรป”
สำหรับรัสเซีย แรงจูงใจสำคัญในการอยู่บนโต๊ะเจรจาไม่ใช่การสะสางสงครามยูเครนเพียงอย่างเดียว เพราะมอสโกอ้างมาโดยตลอดว่าตนเอง “กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ” ในสนามรบ หากแต่ “ความสำเร็จ” ในมุมมองของรัสเซียคือการปูทางไปสู่ความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ ต่างหาก
แม้องค์ประกอบทั้งหมดของความเป็นไปได้ในการสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างรัสเซีย–สหรัฐฯ จะยังไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างครบถ้วนในโต๊ะเจรจา แต่สิ่งที่ทราบในตอนนี้คือ คิริล ดมีตรีเยฟ (Kirill Dmitriev) หัวหน้าทีมเจรจาฝ่ายรัสเซีย ได้หารือกับวิตคอฟฟ์ในชุดประเด็นด้านการลงทุนและแผนธุรกิจหลายรูปแบบ
ข้อตกลงทางธุรกิจเหล่านี้อาจรวมไปถึงโครงการร่วมในภูมิภาคอาร์กติก ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และเป็นเวทีที่รัสเซียมีความก้าวหน้าเหนือสหรัฐฯ ตลอดจนความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและทรัพยากรแร่ รวมถึงแร่หายากและยูเรเนียม โดยเชื่อมโยงกับประเด็นการผ่อนคลายหรือยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ในหลายส่วน
อย่างไรก็ดี เนื่องจากดมีตรีเยฟเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและไม่ได้รับมอบอำนาจให้เจรจาเรื่องยุทธศาสตร์ทางทหาร ประเด็นด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศจึงถูกมองว่าเป็นหัวข้อที่จะต้องนำมาหารือในอนาคต ฝ่ายรัสเซียย้ำมาโดยตลอดว่าต้องการทำให้ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และ NATO กลับสู่ภาวะปกติ พร้อมทั้งจัดทำข้อตกลงเชิงยุทธศาสตร์ที่ช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ และรัสเซียกับยุโรป
ในฝั่งสหรัฐฯ เองก็มีข้อกังขาเช่นกัน เพราะสถานะของวิตคอฟฟ์และที่ปรึกษาใกล้ชิดอย่างจาเร็ด คุชเนอร์ (Jared Kushner) ลูกเขยของทรัมป์ ยังไม่ชัดเจนว่าได้รับการอนุมัติด้านความมั่นคงเพียงพอสำหรับการร่วมโต๊ะเจรจาเชิงยุทธศาสตร์กับรัสเซียหรือไม่
ขณะเดียวกัน ท่าทีเชิงรุกของเอมมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่ออกมาส่งสัญญาณต้องการจัดการหารือแบบตัวต่อตัวกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Putin) ก็ถูกมองว่าเป็นการบ่งบอกโดยนัยว่าปารีสกำลังมองหาช่องทาง “ลงจากบันได” ทางการทูตในวิกฤตครั้งนี้
ด้านปูตินเองต้องประคองสมดุลระหว่างการตอบรับข้อเสนอของมาครง กับการไม่ทำให้กระบวนการสันติภาพที่ขับเคลื่อนโดยสหรัฐฯ สับสน โดยจนถึงขณะนี้ฝ่ายรัสเซียให้การต้อนรับ “การสนทนากับยุโรป” ในภาพรวม แต่เลี่ยงไม่ยกบทบาทให้มาครงดำเนินการแยกเดี่ยวจากกรอบของสหรัฐฯ
ฝ่ายรัสเซียมีเหตุผลหลายประการที่ต้องการจัดทำข้อตกลงด้านยุทธศาสตร์การทหาร การทูต และการเมืองร่วมกับสหรัฐฯ และ NATO ปูตินย่อมตระหนักดีว่าหลังสงครามยูเครนยุติลง เขาจะต้องหันมาปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของรัสเซียครั้งใหญ่
ปัจจุบัน รัสเซียพึ่งพาจีนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลชั้นสูง เทคโนโลยีโลหะขั้นก้าวหน้า หุ่นยนต์ และคอมพิวติ้งเชิงควอนตัม ซึ่งล้วนเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่รัสเซียขาดแคลนหรือมีอยู่เพียงในระดับจำกัดภายในประเทศ
การขาดภาคธุรกิจการค้าที่เข้มแข็งและการลงทุนต่ำเป็นเวลาหลายปี ทำให้รัสเซียมีภาพลักษณ์ “คล้ายประเทศกำลังพัฒนาแต่มีอาวุธนิวเคลียร์” ภาวะที่มิคาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ผู้นำรัสเซียยุคก่อนหน้าปูตินสองรุ่น เคยตระหนักเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน แม้วันนี้รัสเซีย จะสร้างขีดความสามารถด้านอากาศยานกลับคืนมาและสามารถผลิตเครื่องบินพาณิชย์ภายในประเทศโดยไม่ต้องพึ่งพาอะไหล่นำเข้าจากตะวันตก ซึ่งถือเป็นความสำเร็จสำคัญ
อย่างไรก็ตาม รัสเซียยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าความก้าวหน้าเหล่านี้จะคุ้มค่าทางพาณิชย์ หรืออาจเป็นไปได้ว่ามอสโกไม่ได้ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าดังกล่าวมากนัก ในขณะที่ชาติตะวันตกเร่งการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และจีนก็เร่งรุดตามมาติด รัสเซียกลับดูเชื่องช้า โดยแสดงศักยภาพด้าน AI ในวงจำกัด เช่น ระบบโดรนและอาวุธบางประเภท กองทัพสมัยใหม่จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการระดับสูงและการตัดสินใจที่ได้รับการสนับสนุนด้วย AI ซึ่งรัสเซียยังขาดอยู่ในหลายมิติ
คำถามสำคัญสำหรับรัสเซียจึงอยู่ที่ว่า จะสามารถทำข้อตกลงในอนาคตกับสหรัฐฯ และบางประเทศหลักใน NATO โดยเฉพาะฝรั่งเศส ซึ่งเคยมีดีลทางธุรกิจหลายด้านกับมอสโกในยุคสหภาพโซเวียต ได้หรือไม่ หากยังไม่มีทางออกชัดเจนสำหรับสงครามยูเครน
ในอีกด้านหนึ่ง การที่ประธานาธิบดีเซเลนสกีดึงดันไม่ขยับจุดยืนเรื่องดินแดนและปิดประตูการเจรจาในประเด็นนี้ กลับอาจกลายเป็นปัจจัยที่ “โดยไม่ตั้งใจ” เอื้อให้รัสเซียและสหรัฐฯ สามารถเดินหน้าหาทางลดแรงปะทะกันผ่านช่องทางอื่นที่ไม่ผ่านยูเครนด้วยซ้ำ
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/12/us-russia-detente-pushing-ahead-with-or-without-zelensky/