ขอบคุณภาพจาก RT
12/10/2024
นับจากปี 2000 ถึงปี 2011 ผลตอบแทนโดยรวมของทองคำ แซงหน้า ดัชนี S&P 500 ไปอย่างไม่เห็นฝุ่น และถ้ายิ่งเทียบกันระหว่างปี 1972 ถึง 1980 ก็จะยิ่งน่าตกใจมากขึ้น เพราะในช่วงนั้น ทองคำให้ผลตอบแทนกลับมาที่ 1,256% ส่วนดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนแค่ 97%
แต่แน่นอนว่า มีบางช่วงที่หุ้นให้ผลตอบแทนดีกว่าทองคำเช่นกัน เพราะระหว่างปี 2012 ถึง 2021 หุ้นให้ผลตอบแทนกลับมา 336% ส่วนทองคำให้กลับมาแค่ 16% และจากปี 1980 ถึง 1999 หุ้นก็ยังให้ผลตอบแทนดีกว่าทองคำ ในขณะที่ในช่วงเกือบ 20 ปีนั้น ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ดูนิ่งๆ
แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ทั้งหุ้นและทองคำ คือดีทั้งคู่ ซึ่งมันก็เป็นไปตามวัฏจักร
Adam Sharp นักเขียนบทวิเคราะห์ทางการเงินและเป็นผู้จับตาธนาคารกลางสหรัฐมาตั้งแต่ปี 2008 เชื่อว่า หลายคนได้หันมาสนใจลงทุนทองคำตั้งแต่ต้นปีนี้ ( 2024 ) และถ้านี่คือวัฏจักรรอบใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นของทองคำ ก็น่าจะยืดยาวต่อไปอีก 7 ปี ที่ทองคำจะให้ผลตอบแทนแซงหน้าหุ้น แต่ถ้ามองจากหลายๆ ปัจจัยที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ ทองคำให้ผลตอบแทนแซงหน้าหุ้น อาจกินเวลายาวนานกว่านั้น
ถ้าดูจากเหตุการณ์ในอดีต ตลาดหุ้นที่วิ่งฉิวแบบกระทิงมาถึงจุดสิ้นสุดและเกิดการพังในปี 1971 และปี 2000 ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อเกิดการปรับเปลี่ยนจากนโยบายการเงินในปี 1971 และ ปี 2000 เช่นกัน
สงครามก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดเงินตลาดทุน อย่างที่เคยเกิดสงครามเวียดนามและอื่นๆ ในช่วงทศวรรษที่ 1970 แล้วพอเข้าช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 ก็มีสงครามต่อต้านการก่อการร้าย สงครามทำให้ประเทศขาดดุล และต้องจัดหาเงินมาหมุนเวียนมากขึ้น สงครามยังทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกและนักลงทุนต้องรีบหาแหล่งพักพิงทางสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และตอนนี้ Adam Sharp ก็เชื่อว่า เหตุการณ์ทำนองนี้วนมาบรรจบอีกครั้ง
หุ้นยังไปได้สวยอยู่ แต่ตอนนี้ หลายตลาดดูแพงเกินไป Longview Economics ชี้ให้เห็นว่า หุ้นของสหรัฐ 90% มีมูลค่าสูงกว่าในอดีต และสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ใกล้จะถึงจุดสูงสุดของตลาดหุ้นแล้ว อีกทั้งยังไม่เห็นว่า จะมีปัจจัยบวกอะไรช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้นให้เติบโตอย่างแท้จริงแบบยั่งยืนได้
ฟองสบู่ตลาดหุ้นสหรัฐ อาจไปไกลกว่าที่คาดการณ์ไว้ และยังไม่แตกง่ายๆ แต่ Adam Sharp ก็อยากให้ความสนใจโลหะมีค่ามากกว่า ซึ่งเขาย้ำว่า เขาก็ยังมีหุ้นสหรัฐอยู่ในมือ และจะยังถืออยู่ แต่ในช่วงเวลานี้ เขาจะให้ความสำคัญน้อยลง แล้วหันไปหาสินทรัพย์ทางเลือกอื่น โดยเฉพาะทองคำและโลหะเงิน
สหรัฐและหลายประเทศกำลังถึงจุดที่หนี้พอกพูนเต็มพิกัด ตัวเลขหนี้สาธารณะทั่วโลกพุ่งแตะ 315 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 10,000 ล้านล้านบาท คิดเป็น 333% ของจีดีพีโลก
ธนาคารกลางสหรัฐก็แค่ใช้วิธีแจกเงินอย่างง่ายๆ และมีแนวโน้มจะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE อย่างเป็นทางการในอนาคตอันใกล้ ส่วนธนาคารกลางจีน ก็แค่อัดสภาพคล่องมหึมาเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะงักงัน ยังมีอีกหลายประเทศที่จะเดินตามรอยนี้ สภาพคล่องจึงน่าจะพรั่งพรูไปทั่วโลก
ในเวลาเดียวกัน ตอนนี้ โลกเต็มไปด้วยสงครามและความขัดแย้งมากมาย ตั้งแต่ในเยเมน ยูเครน อิสราเอล อิหร่าน และอื่นๆ สงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย กำลังดำเนินอยู่ในหลายประเทศแถบแอฟริกาอย่างเงียบๆ
การจับจ่ายทางกองทัพเป็นไปอย่างคึกคัก รัสเซียถึงกับเพิ่มงบใช้จ่ายทางกองทัพประจำปีเป็น 40% ของงบทั้งหมด ส่วนงบจับจ่ายทางกองทัพของจีน ก็เทียบเคียงกับของสหรัฐแล้วในเวลานี้ ส่งผลให้สหรัฐก็ต้องเร่งเสริมงบกองทัพด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดทั้งมวล จึงก่อกำเนิดเป็นวงจรตลาดโลหะมีค่า ที่จะพุ่งฉลุยแบบกระทิงรอบใหม่ ปัญหาต่างๆ ที่โลกเผชิญอยู่ คงไม่หายไปง่ายๆ ต่อให้ความขัดแย้งทั้งหมดจบสิ้นลงในวันพรุ่งนี้ แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ เพราะเราก็ต้องเผชิญกับปัญหาจากโครงสร้างหนี้ขนาดมหึมา
ความขัดแย้งและการจับจ่ายทางทหาร เปรียบเหมือนน้ำมันที่ไปเติมเชื้อไฟ ปัจจุบัน ดูเหมือนเศรษฐกิจยังพอไปได้ แต่สถานการณ์คงไม่เป็นเช่นนี้ตลอดไป แต่ถ้าโชคดี ราคาทองคำและโลหะเงิน เกิดหลุดแนวรับลงมา Adam Sharp บอกว่า เขาจะรีบเข้าซื้อทันที แต่แนวโน้มก็คงยากที่จะเป็นเช่นนั้น
By IMCT News
อ้างอิงจาก https://dailyreckoning.com/the-gold-bull-cycle-has-just-begun/