.

ทรัมป์ชี้จีนเป็น “ตัวการใหญ่ที่สุดในการเอาเปรียบทางการค้า” พร้อมลดทอนผลกระทบจากสงครามภาษี
1-5-2025
เมื่อวันพุธ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกประเทศจีนว่าเป็นผู้นำอันดับหนึ่งสำหรับตำแหน่ง “หัวหน้าแห่งการเอาเปรียบ” ทางการค้า และพยายามลดความสำคัญของผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดจากสงครามภาษีของเขา “เราโดนเอาเปรียบจากทุกประเทศในโลก แต่ถ้าจะให้พูด จีนคือผู้นำอันดับหนึ่งของตำแหน่ง ‘หัวหน้าผู้เอาเปรียบ’” ทรัมป์กล่าวระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบขาว
ทรัมป์ยังคงปกป้องนโยบายภาษีศุลกากรนำเข้าจากจีนในอัตราสูงถึง 145% ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ผู้เชี่ยวชาญและผู้นำภาคธุรกิจจะเตือนถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับแนวคิดที่ว่าผู้บริโภคชาวอเมริกันอาจต้องเผชิญกับชั้นวางสินค้าที่ว่างเปล่าหากสงครามภาษียืดเยื้อออกไป
“มีคนบอกว่า ‘ของจะหมดชั้นวาง’ ก็อาจเป็นไปได้ว่า เด็กๆ จะมีตุ๊กตาแค่ 2 ตัว แทนที่จะมี 30 ตัว และบางทีตุ๊กตา 2 ตัวนั้นก็อาจจะแพงขึ้นสักไม่กี่เหรียญ” ทรัมป์กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรี
ครั้งสุดท้ายที่ชาวอเมริกันต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนสินค้าและชั้นวางของว่างเปล่า คือช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อห้าปีก่อน ในขณะนั้น ความปั่นป่วนของห่วงโซ่อุปทานเกิดจากการหยุดชะงักของการค้าระหว่างประเทศอันเป็นผลจากมาตรการจำกัดการแพร่ระบาด
แต่ครั้งนี้ สถานการณ์ขาดแคลนอาจเกิดจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดยเจตนา ทรัมป์ยังโต้แย้งว่า สหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องใช้สินค้าจำนวนมากที่ผลิตจากจีน แม้ว่าจีนจะยังคงเป็นแหล่งนำเข้าสินค้ารายใหญ่ของอเมริกา
“พวกเขามีเรือบรรทุกของเต็มลำ ซึ่งของจำนวนมาก — ไม่ใช่ทั้งหมด แต่จำนวนมาก — เราไม่จำเป็นต้องใช้เลย” เขากล่าว
คำพูดของทรัมป์มีขึ้นในขณะที่รัฐบาลของเขาอ้างว่ากำลังมีการเจรจากับปักกิ่งอยู่ แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังคงปิดเงียบเกี่ยวกับรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ใครเป็นผู้เจรจา, เจรจาที่ไหน, หรือเจรจากับเจ้าหน้าที่จีนคนใด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามจาก CNBC เมื่อวันอังคารเกี่ยวกับว่าเขาเป็นผู้นำการเจรจาการค้ากับจีนหรือไม่ โดยกล่าวเพียงว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้นำการเจรจาทั้งหมด” อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีพาณิชย์ โฮเวิร์ด ลัทนิค กล่าวว่า การเจรจากับปักกิ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของเบสเซนต์
“ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนนั้น จำเป็นต้องลดระดับความตึงเครียดลง ตามที่รัฐมนตรีเบสเซนต์ได้กล่าวไว้ และนี่คือความรับผิดชอบของเขา ซึ่งประธานาธิบดีก็ได้มอบหมายหน้าที่นี้ให้ และผม—รวมถึงพวกเราทุกคน—หวังว่าเขาจะสามารถปิดดีลนี้ได้สำเร็จ” ลัทนิคกล่าวกับ Newsmax เมื่อวันพุธ โดยกล่าวถึงเบสเซนต์
ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน ลัทนิคเคยให้สัมภาษณ์กับไบรอัน ซัลลิแวนแห่ง CNBC ว่า “พอร์ตงานของผมคือข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่นๆ ทั้งหมดนอกเหนือจากจีน”
ทีมา ซีเอ็นบีซี
------------------------------------
ทรัมป์โทษไบเดน หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวในไตรมาสแรก – บอก ‘ต้องใช้เวลา’ ก่อนเศรษฐกิจจะบูม
1-5-2025
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวโทษอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน และปกป้องนโยบายภาษีศุลกากรของเขาหลังจากมีข้อมูลใหม่แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวในไตรมาสที่ผ่านมา พร้อมเตือนว่า "การบูม" ที่เขาสัญญาไว้ “จะต้องใช้เวลา”
“นี่คือตลาดหุ้นของไบเดน ไม่ใช่ของทรัมป์ ผมไม่ได้เข้ารับตำแหน่งจนถึงวันที่ 20 มกราคม” ทรัมป์เขียนใน Truth Social
“ภาษีศุลกากรจะเริ่มมีผลในไม่ช้า และบริษัทต่างๆ ก็กำลังย้ายเข้ามาสหรัฐฯ เป็นจำนวนมากในระดับประวัติการณ์ ประเทศของเราจะบูม แต่เราต้องกำจัด ‘ภาระตกค้างจากยุคไบเดน’ ก่อน” เขาอ้าง
“มันจะต้องใช้เวลา และมันไม่เกี่ยวอะไรกับภาษีศุลกากรเลย สิ่งเดียวที่เกี่ยวคือ เขาทิ้งตัวเลขเศรษฐกิจที่แย่ไว้ให้เรา แต่เมื่อการบูมเริ่มขึ้น มันจะไม่เหมือนครั้งไหนมาก่อน จงอดทนไว้!!!” ทรัมป์เขียนต่อ
โพสต์ดังกล่าวมีขึ้นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ รายงานว่า GDP หดตัวในอัตรารายปี 0.3% ในช่วงสามเดือนแรกของปี ซึ่งเป็นการเติบโตติดลบไตรมาสแรกนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2022 อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหาของทรัมป์ที่ว่า GDP ติดลบและตลาดหุ้นตกต่ำเป็นผลมาจากนโยบายของไบเดนนั้นไม่สอดคล้องกับข้อมูล
ตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์ การหดตัวของ GDP มาจากการนำเข้าที่พุ่งขึ้นอย่างมาก เมื่อบริษัทต่างๆ เร่งสั่งสินค้าก่อนที่ภาษีศุลกากรของทรัมป์จะมีผลในเดือนเมษายน นอกจากนี้ การใช้จ่ายของรัฐบาลที่ลดลง โดยเฉพาะในด้านกลาโหม ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กดดัน GDP
รายงานแยกเมื่อเช้าวันพุธยังระบุว่า การจ้างงานภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเพียง 62,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 120,000 ตำแหน่ง
รายงานจ้างงานจาก GDP นี้ถือเป็นการเติบโตต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 และยังลดลงอย่างชัดเจนจากตัวเลขในเดือนมีนาคมที่ถูกปรับลดลงเหลือ 147,000 ตำแหน่ง
ตลาดหุ้นเปิดตัวร่วงแรงหลังจากรายงาน GDP และผลประกอบการบริษัทต่างๆ ออกมาต่ำกว่าคาด ข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการประชุมของทรัมป์กับผู้นำภาคธุรกิจมากกว่า 20 รายที่ทำเนียบขาวในวันพุธ และการที่เขาโยนความผิดให้ผู้อื่น อาจขัดกับความพยายามล่าสุดในการอ้างเครดิตจากพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่เขาอ้างว่าเป็นผลจากนโยบายของตนเอง
ตัวอย่างเช่น ในสุนทรพจน์เมื่อคืนวันอังคาร เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 วันของการดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง ทรัมป์กล่าวว่า “ราคาสินค้าลดลงอย่างมาก” และยืนยันว่า “เป็นผลงานของผม” อย่างไรก็ตาม รายงาน GDP ล่าสุดระบุว่า ดัชนีราคาการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้นถึง 3.6% ในไตรมาสแรก สูงขึ้นจาก 2.4% ในไตรมาสก่อนหน้า
ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่าการจ้างงานที่หดตัวและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ตกต่ำลงนั้น เกิดจากความไม่แน่นอนและความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีของทรัมป์ ความพยายามของทรัมป์ที่จะปัดความรับผิดชอบต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน คล้ายกับความพยายามก่อนหน้านี้ของเขาที่จะรับเครดิตจากตลาดหุ้นในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวภายใต้ไบเดน
เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2024 ขณะยังเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์เขียนใน Truth Social ว่า “นี่คือตลาดหุ้นของทรัมป์ เพราะคะแนนนิยมของผมที่เหนือกว่าไบเดน ทำให้นักลงทุนคาดว่าผมจะชนะ”
แอนดรูว์ เบตส์ อดีตโฆษกทำเนียบขาวในสมัยไบเดน ได้ออกมาตอบโต้คำกล่าวอ้างของทรัมป์
“โจ ไบเดนส่งมอบเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลกให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ โดยผู้เชี่ยวชาญยกย่องว่าสหรัฐฯ ล้ำหน้าประเทศร่ำรวยอื่นๆ ไปไกล” เบตส์กล่าวในแถลงการณ์
“แต่ตอนนี้ เรากำลังร่วงลงสู่ ‘ทรัมป์เซสชัน’” เขากล่าว
ที่มา CNBC