.

ธนาคารโลกเปลี่ยนมุมมอง โดยคาดการณ์ว่าทองจะยังคงไปได้ดีกว่าโลหะเงินในปีนี้
2-5-2025
ธนาคารโลกชี้ ราคาทองคำพุ่งถึงจุดสูงสุดที่ $3,500 อาจไม่ปรับขึ้นอีกมาก แต่ไม่มีแนวโน้มปรับฐานจนถึงปี 2026 แม้ว่าราคาทองคำจะวิ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $3,500 ต่อออนซ์ ซึ่งอาจเหลือพื้นที่ให้ปรับขึ้นอีกไม่มาก แต่นักลงทุนไม่ควรคาดหวังว่าจะเห็นการปรับฐานของราคาทองคำภายในปี 2026
ตามรายงานแนวโน้มสินค้าโภคภัณฑ์ล่าสุด นักวิเคราะห์ของธนาคารโลกคาดว่า ราคาทองคำเฉลี่ยตลอดปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ $3,250 ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 36% จากค่าเฉลี่ยของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับประมาณการขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่คาดว่าราคาจะทรงตัว
หากมองไปถึงปี 2026 ธนาคารโลกคาดว่าราคาทองคำเฉลี่ยจะอยู่ที่ราว $3,200 ต่อออนซ์ ลดลงเล็กน้อย 1.5% จากประมาณการของปีนี้ อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม นักวิเคราะห์ยังคาดว่าทองคำจะรักษามูลค่าและเป็นสินทรัพย์เด่นในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ตลอดช่วงสองปีข้างหน้า
“ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์หลบภัยจะยังคงแข็งแกร่งในระยะสั้น โดยได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของตลาดการเงินขนาดใหญ่” นักวิเคราะห์ระบุ “ราคาทองคำคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี 2015–2019 ถึงประมาณ 155% ตลอดช่วงเวลาคาดการณ์”
นักวิเคราะห์เสริมว่า “หากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนด้านนโยบายเพิ่มสูงขึ้น ราคาทองคำอาจพุ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน”
แนวโน้มเงิน (Silver) ก็ปรับขึ้นเช่นกัน
พร้อมกับแนวโน้มทองคำ ธนาคารโลกยังปรับมุมมองเชิงบวกต่อราคาโลหะเงิน โดยก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์เคยคาดว่าเงินจะให้ผลตอบแทนดีกว่าทองคำในปีนี้ จากความต้องการภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ธนาคารโลกคาดว่าราคาเงินเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ $33 ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 16.7% จากค่าเฉลี่ยของปีที่แล้ว และในปี 2026 ราคาจะขยับขึ้นต่อเนื่องไปที่ $34 ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้นอีก 3%
แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกจะชะลอตัวและส่งผลลบต่อสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม แต่ความต้องการเงินในภาคอุตสาหกรรมคาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งและช่วยพยุงราคา
“ความต้องการเงินคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาคาดการณ์ โดยได้รับแรงหนุนจากบทบาทของเงินทั้งในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยทางการเงินทางเลือก และวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น พลังงานหมุนเวียน และเซมิคอนดักเตอร์” นักวิเคราะห์กล่าว “การผลิตอุตสาหกรรมที่ใช้เงินในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ทั่วโลก คาดว่าจะช่วยสนับสนุนความต้องการเงินในปีนี้ แม้อุตสาหกรรมเหล่านี้อาจเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการขึ้นภาษีล่าสุด นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์อาจเพิ่มความน่าสนใจของเงินในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับนักลงทุน”
ทองคำและเงินมีแนวโน้มชนะตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม
ทั้งทองคำและเงินคาดว่าจะให้ผลตอบแทนเหนือกว่าสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ โดยภาพรวมธนาคารโลกคาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะลดลง 12% ในปีนี้ เนื่องจากกิจกรรมเศรษฐกิจชะลอตัว และจะลดลงอีก 5% ในปี 2026
“ราคาน้ำมันจะเป็นตัวถ่วงสำคัญต่อดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมในปี 2025 เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันโลกชะลอลงอย่างมากในขณะที่อุปทานเพิ่มขึ้น” นักวิเคราะห์ระบุ “แนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนตัวลงนั้นเกิดขึ้นในวงกว้าง โดยมากกว่าครึ่งของรายการสินค้าในประมาณการคาดว่าจะลดลงในปีนี้ หลายรายการอาจลดลงมากกว่า 10%”
ธนาคารโลกยังเตือนว่า ความเสี่ยงต่อประมาณการราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้ม “เอนไปทางด้านลบ” โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์สรุปว่า “หากมีการผ่อนคลายข้อจำกัดทางการค้าอย่างถาวร อาจช่วยฟื้นฟูแนวโน้มการเติบโตและสนับสนุนการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์”
ที่มา Kitco