เหตุใดยุโรปและอาเซียนจึงจับมือกัน

เหตุใดยุโรปและอาเซียนจึงจับมือกันเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และจีน
20-5-2025
แม้จะมีความแตกต่างทางการทูตและอุดมการณ์ แต่ความต้องการด้านการค้าและความมั่นคงกำลังดึงยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าหากัน ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เตรียมเป็นผู้นำยุโรปคนแรกที่ขึ้นกล่าวปาฐกถาเปิดงาน Shangri-La Dialogue ซึ่งจะจัดขึ้นที่สิงคโปร์ในปลายเดือนนี้ งานดังกล่าวถือเป็นเวทีด้านความมั่นคงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเอเชีย โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านกลาโหมและนโยบายต่างประเทศ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกเข้าร่วม เพื่อหารือประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีจุดยืนคล้ายกัน
มาครงจะเข้าร่วมในฐานะหนึ่งในผู้นำระดับโลกที่เคยกล่าวปาฐกถาบนเวทีนี้ เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี และนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แอนโทนี อัลบาเนซี โดยเขาจะใช้โอกาสนี้นำเสนอวิสัยทัศน์ของยุโรปเกี่ยวกับระเบียบระหว่างประเทศบนพื้นฐานของกฎกติกา พร้อมแสดงจุดยืนด้าน “อธิปไตยเชิงยุทธศาสตร์” ของยุโรป ท่ามกลางการแข่งขันอำนาจระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
มาครงยังมีกำหนดเดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กัวลาลัมเปอร์ และต่อด้วยการเยือนอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและถือเป็นผู้นำโดยพฤตินัย เขาจะเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอย่างไม่เป็นทางการ (retreat) กับประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ที่โรงเรียนนายร้อยในเมืองมะเกอลัง จังหวัดชวากลาง
แม้ฟิลิปปินส์จะไม่อยู่ในแผนการเยือนของมาครง แต่ประเทศนี้ก็กำลังพัฒนาความสัมพันธ์กับมหาอำนาจยุโรปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับอินโดนีเซีย โดยฟิลิปปินส์เพิ่งจัดการซ้อมรบร่วม "Balikatan" ใกล้จุดตึงเครียดในทะเลจีนใต้และไต้หวัน ซึ่งมีผู้สังเกตการณ์จากหลายประเทศยุโรปเข้าร่วมเป็นครั้งแรกถึง 4 ประเทศ ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมา ฝรั่งเศสเป็นชาติเพียงหนึ่งเดียวจากยุโรปที่ร่วมซ้อมรบร่วมกับสหรัฐฯ โดยตรงในฟิลิปปินส์
ฝรั่งเศสและเยอรมนีกำลังเสริมความร่วมมือด้านกลาโหมกับฟิลิปปินส์ ขณะที่สหภาพยุโรปก็เร่งเดินหน้าทำข้อตกลงการค้าเสรีกับทั้งมะนิลาและจาการ์ตา ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นผู้กล่าวปาฐกถาหลักในการประชุม Shangri-La Dialogue ปีที่แล้ว ก็กำลังพิจารณาเยือนฝรั่งเศสในปลายปีนี้ หลังทั้งสองฝ่ายใกล้บรรลุข้อตกลงด้านการเข้าถึงซึ่งกันและกัน (Reciprocal Access Agreement) และข้อตกลงด้านกลาโหมอื่น ๆ
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาของมหาอำนาจมาหลายทศวรรษ ประเทศหลักในยุโรปและอาเซียนกำลังหันมาพัฒนาความสัมพันธ์แบบทวิภาคี เพื่อสร้างพันธมิตรในกลุ่ม “มหาอำนาจระดับกลาง” ที่มีแนวคิดคล้ายกัน ทั้งสองฝ่ายต้องการหลีกเลี่ยงการพึ่งพาสหรัฐฯ หรือจีนมากเกินไป จึงสร้างความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันมากขึ้น ท่ามกลางโลกที่กำลังเปลี่ยนเข้าสู่ระเบียบพหุขั้ว (multipolar order)
แม้สหรัฐฯ และจีนยังคงมีบทบาทสำคัญในนโยบายต่างประเทศของทั้งยุโรปและประเทศสมาชิกอาเซียน โดยสหรัฐฯ ยังคงเป็นพันธมิตรด้านกลาโหมที่สำคัญที่สุดของยุโรป และเป็นตลาดส่งออกหลัก ขณะที่การรุกรานยูเครนของรัสเซียได้เผยให้เห็นว่ายุโรปยังต้องพึ่งพากำลังทหารและอิทธิพลทางการทูตของสหรัฐฯ อย่างมาก
ในขณะเดียวกัน จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศอาเซียน และเป็นแหล่งเงินลงทุนหลักในโครงการผลิตขั้นสูงและโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ยุโรปกับอาเซียนมีมุมมองที่แตกต่างกันในหลายประเด็นระดับโลก เช่น ชาติอาเซียนส่วนใหญ่ (ยกเว้นสิงคโปร์) ปฏิเสธเข้าร่วมมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของตะวันตก บางประเทศอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียกลับเร่งเจรจาความร่วมมือทางทหารกับรัสเซีย ทั้งผ่านการซ้อมรบหรือข้อตกลงจัดซื้อยุทโธปกรณ์ครั้งใหญ่
เมื่อปีที่แล้ว เวียดนามถึงกับไม่สนใจหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศต่อวลาดิเมียร์ ปูติน โดยเปิดบ้านต้อนรับผู้นำรัสเซีย ขณะที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ก็เพิ่งเดินทางเยือนมอสโกในเดือนนี้ และเชิญปูตินเข้าร่วมการประชุมผู้นำอาเซียนในปลายปีนี้
ขณะเดียวกัน ชาติอาเซียนหลายประเทศก็วิจารณ์สิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น “มาตรฐานสองชั้น” ของยุโรปต่อกรณีสงครามอิสราเอล-กาซา โดยประเทศอย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย รวมถึงพันธมิตรของสหรัฐฯ อย่างฟิลิปปินส์ ไทย และสิงคโปร์ ต่างแสดงจุดยืนสนับสนุนชาวปาเลสไตน์
แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านอุดมการณ์และจุดยืนทางการทูต แต่ยุโรปและอาเซียนกำลังพัฒนา “วัฒนธรรมเชิงยุทธศาสตร์” ที่คล้ายคลึงกันมากขึ้น ในฐานะมหาอำนาจระดับกลาง ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการตัดสัมพันธ์กับสหรัฐฯ หรือจีน แต่อย่างไรก็ระมัดระวังไม่ให้ต้องพึ่งพาใครคนใดคนหนึ่งมากเกินไป ทั้งยังพยายามเสริมสร้างความเป็นอิสระเชิงยุทธศาสตร์ของตนเอง ท่ามกลางเงื่อนไขที่ยังคงพัวพันกับมหาอำนาจเหล่านั้น
ทั้งสองภูมิภาคยังมีจุดแข็งที่สามารถเกื้อหนุนกันได้ เช่น สหภาพยุโรปต้องการเข้าถึงตลาดผู้บริโภคที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และแรงงานหนุ่มสาวในประเทศอาเซียน ซึ่งถือเป็นบ้านของชนชั้นกลางที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ขณะที่ยุโรปซึ่งกำลังเผชิญภาษีการค้าจากสหรัฐฯ และการแข่งขันจากจีน ก็ต้องการหาตลาดใหม่สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมและอาวุธของตน โดยขณะนี้สิงคโปร์และเวียดนามมีข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปแล้ว และยังอยู่ระหว่างการเจรจากับอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย
ในขณะที่ยุโรปและอาเซียนต่างก็เผชิญความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคของตน ทั้งสองจึงมุ่งขยายความร่วมมือด้านกลาโหมด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับผู้นำเยอรมนีและอังกฤษ มาครงก็คาดว่าจะผลักดันการขายระบบอาวุธขั้นสูงให้กับอินโดนีเซียซึ่งกำลังเสริมสร้างกำลังรบอย่างจริงจัง สิงคโปร์เพิ่งรับมอบเรือดำน้ำรุ่น Type 218SG จากเยอรมนีครบทั้ง 4 ลำเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่ไทยก็เป็นลูกค้ารายสำคัญของอาวุธยุโรปมาช้านาน
ฝรั่งเศสและสเปนเองก็ต้องการขายเรือดำน้ำให้กับฟิลิปปินส์ ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงกองทัพครั้งใหญ่ แม้ฟิลิปปินส์จะถูกมองว่าเป็นพันธมิตรแนวหน้าของสหรัฐฯ แต่รัฐบาลมาร์กอสก็กำลังสร้างสัมพันธ์กับยุโรปอย่างใกล้ชิด เพื่อกระจายความสัมพันธ์ทางการทูต ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ในประวัติศาสตร์ และในขณะเดียวกันก็สามารถลดแรงกดดันจากฝ่ายตรงข้ามภายในประเทศ โดยเฉพาะตระกูลดูเตอร์เตที่ต้องการฟื้นความสัมพันธ์กับจีน
กล่าวโดยสรุป ยุโรปและชาติหลักในอาเซียนกำลังสร้างความสัมพันธ์แบบพึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างแนบแน่น แม้จะมีความต่างด้านอุดมการณ์และการทูต แต่ทั้งสองฝ่ายต่างกำลังจับมือกันอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์ และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นระหว่างมหาอำนาจโลก
IMCT News
https://www.scmp.com/opinion/asia-opinion/article/3310791/why-europe-and-asean-are-aligning-hedge-against-us-china-dependence