.

ทรัมป์ เตรียมแจ้งประเทศคู่ค้าภาษีนำเข้าสูงถึง 70% มีผล 1 ส.ค. นี้
5-7-2025
Bloomberg รายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) กล่าวว่ารัฐบาลของเขาจะเริ่มแจ้งประเทศคู่ค้าในวันศุกร์นี้ เกี่ยวกับภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม โดยย้ำถึงความพึงพอใจในความเรียบง่ายมากกว่าการเจรจาที่ซับซ้อน เพียงห้าวันก่อนถึงกำหนดเส้นตายสำหรับการบรรลุข้อตกลง
ทรัมป์ (Trump) บอกกับผู้สื่อข่าวว่าจดหมายประมาณ "10 หรือ 12" ฉบับจะถูกส่งออกไปในวันศุกร์นี้ และจดหมายเพิ่มเติมจะตามมา "ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า" "ภายในวันที่ 9 พวกเขาจะได้รับการครอบคลุมอย่างสมบูรณ์" ทรัมป์ (Trump) กล่าว โดยอ้างถึงเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคมที่เขากำหนดไว้ในตอนแรกเพื่อให้ประเทศต่างๆ บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ (US) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นที่เขาขู่ไว้ "มูลค่าภาษีจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 60 หรือ 70% ไปจนถึง 10 และ 20%" เขากล่าวเสริม หากมีการบังคับใช้ ภาษีสูงสุดที่เขากำหนดไว้จะสูงกว่าภาษีที่ประธานาธิบดีเคยระบุไว้ในตอนแรกระหว่างการเปิดตัว "Liberation Day" ในช่วงต้นเดือนเมษายน ซึ่งมีตั้งแต่ภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับเศรษฐกิจส่วนใหญ่ไปจนถึงสูงสุด 50% ทรัมป์ (Trump) ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าประเทศใดจะได้รับภาษีดังกล่าว หรือหมายความว่าสินค้าบางประเภทจะถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าสินค้าอื่น ๆ หรือไม่
ทรัมป์ (Trump) กล่าวว่าประเทศต่าง ๆ จะ "เริ่มจ่ายเงินในวันที่ 1 ส.ค. เงินจะเริ่มไหลเข้าสู่สหรัฐอเมริกา (United States) ในวันที่ 1 ส.ค." โดยปกติแล้วภาษีจะถูกจ่ายโดยผู้นำเข้า หรือตัวกลางที่ดำเนินการในนามของผู้นำเข้า แต่บ่อยครั้งที่กำไรหรือผู้บริโภคปลายทางเป็นผู้รับภาระต้นทุนส่วนใหญ่ หุ้นในเอเชีย (Asia) และยุโรป (Europe) ตกต่ำลงพร้อมกับค่าเงินดอลลาร์ (dollar) ตลาดหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US equity and Treasury markets) ปิดทำการเนื่องในวันหยุด Fourth of July (Fourth of July holiday) ผลกระทบที่ล่าช้าของภาษีต่ออัตราเงินเฟ้อทำให้เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve officials) บางคนระมัดระวังในการลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ระงับการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ – แม้จะเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากทรัมป์ (Trump) – ส่วนหนึ่งเพื่อพิจารณาว่าการขึ้นราคาที่เกิดจากภาษีอาจพัฒนาไปสู่แรงกดดันค่าครองชีพที่ยั่งยืนมากขึ้นหรือไม่
จนถึงขณะนี้ รัฐบาลทรัมป์ (Trump administration) ได้ประกาศข้อตกลงกับสหราชอาณาจักร (UK) และเวียดนาม (Vietnam) และตกลงที่จะสงบศึกกับจีน (China) ซึ่งทำให้สองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกผ่อนคลายภาษีตอบโต้และลดการควบคุมการส่งออก เมื่อถูกถามเมื่อวันพฤหัสบดีว่าจะมีข้อตกลงเพิ่มเติมหรือไม่ ทรัมป์ (Trump) ตอบว่า "เรามีข้อตกลงอื่น ๆ อีกสองสามข้อ แต่คุณรู้ไหมว่า แนวโน้มของผมคือการส่งจดหมายออกไปและบอกว่าพวกเขาจะต้องจ่ายภาษีเท่าไร" "มันง่ายกว่ามาก" เขากล่าว "ผมอยากจะทำข้อตกลงง่าย ๆ ที่คุณสามารถรักษาและควบคุมได้"
ทรัมป์ (Trump) ประกาศข้อตกลงเวียดนาม (Vietnam) เมื่อวันพุธ โดยกล่าวว่าสหรัฐฯ (US) จะเรียกเก็บภาษี 20% สำหรับสินค้าส่งออกของเวียดนาม (Vietnamese exports) ไปยังสหรัฐฯ (US) และอัตรา 40% สำหรับสินค้าที่ถือว่ามีการขนส่งผ่านประเทศ (transshipped) – ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติที่ส่วนประกอบจากจีน (China) และอาจรวมถึงประเทศอื่น ๆ ถูกส่งผ่านประเทศที่สามระหว่างทางไปยังสหรัฐฯ (US) แม้ว่าอัตราจะต่ำกว่าภาษี 46% ที่ทรัมป์ (Trump) กำหนดกับเวียดนาม (Vietnam) ในตอนแรก แต่ก็สูงกว่าระดับสากล 10% และรายละเอียดหลายอย่างของข้อตกลงยังไม่ชัดเจน โดยทำเนียบขาว (White House) ยังไม่ได้เผยแพร่เอกสารข้อตกลงหรือประกาศใด ๆ ที่จะทำให้ข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ หลังจากการประกาศของทรัมป์ (Trump) เวียดนาม (Vietnam) กล่าวว่าการเจรจายังคงดำเนินอยู่
อินโดนีเซีย (Indonesia) มั่นใจว่าใกล้จะบรรลุข้อตกลงทางการค้าที่ "กล้าหาญ" กับสหรัฐฯ (US) ซึ่งจะครอบคลุมแร่ธาตุสำคัญ พลังงาน ความร่วมมือด้านกลาโหม และการเข้าถึงตลาด ก่อนถึงกำหนดเส้นตายภาษีที่กำลังจะมาถึง ตามคำกล่าวของหัวหน้าผู้เจรจาของประเทศเมื่อวันศุกร์ รัฐบาลกัมพูชา (Cambodia’s government) กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ว่าได้ตกลงกับสหรัฐฯ (US) ในข้อตกลงกรอบความร่วมมือทางการค้าแบบตอบโต้ ซึ่งจะเผยแพร่ต่อสาธารณะในเร็ว ๆ นี้ พร้อมคำมั่นที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดต่อไป ภาษีตอบโต้ที่กัมพูชา (Cambodia) ถูกขู่ไว้ที่ 49% เป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดของทรัมป์ (Trump)
คู่ค้าสำคัญหลายราย เช่น ญี่ปุ่น (Japan) เกาหลีใต้ (South Korea) และสหภาพยุโรป (European Union) ยังคงทำงานเพื่อสรุปข้อตกลงของตน ผู้ผลิตรถยนต์และเมืองหลวงบางแห่งใน EU กำลังผลักดันข้อตกลงกับสหรัฐฯ (US) ที่จะอนุญาตให้มีการบรรเทาภาษีเพื่อแลกกับการเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ (US) ตามข้อมูลจากบุคคลที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่การค้าสูงสุดของเกาหลีใต้ (South Korea’s top trade official) จะเยือนสหรัฐฯ (US) ในสุดสัปดาห์นี้พร้อมข้อเสนอใหม่ ในความพยายามในนาทีสุดท้ายเพื่อขอการผ่อนผันก่อนที่ภาษีที่สูงขึ้นจะมีผลบังคับใช้
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ (US president) ได้แสดงความมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงกับอินเดีย (India) แต่ได้กล่าวอย่างรุนแรงเกี่ยวกับแนวโน้มของข้อตกลงกับญี่ปุ่น (Japan) โดยมองว่ากรุงโตเกียว (Tokyo) เป็นคู่เจรจาที่ยากลำบาก เขาได้เพิ่มความวิพากษ์วิจารณ์ในสัปดาห์นี้ โดยกล่าวว่าญี่ปุ่น (Japan) ควรถูกบังคับให้ "จ่าย 30%, 35% หรือตัวเลขใดก็ตามที่เรากำหนด" ทรัมป์ (Trump) กล่าวเมื่อวันอังคารว่าเขาไม่ได้พิจารณาที่จะเลื่อนกำหนดเส้นตายในสัปดาห์หน้า เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการขยายเวลาการเจรจาที่อาจเกิดขึ้น นายสกอตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (US Treasury Secretary) กล่าวเมื่อต้นวันพฤหัสบดีว่าทรัมป์ (Trump) จะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย “เราจะทำตามที่ประธานาธิบดีต้องการ และเขาจะเป็นผู้กำหนดว่าพวกเขากำลังเจรจาโดยสุจริตหรือไม่” เบสเซนต์ (Bessent) กล่าวกับ CNBC เมื่อถูกถามว่าอาจมีการขยายกำหนดเส้นตายหรือไม่
การเคลื่อนไหวของทรัมป์ (Trump) ที่มุ่งมั่นที่จะใช้มาตรการภาษีที่รุนแรง หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ทันกำหนดเส้นตาย กำลังสร้างความไม่แน่นอนอย่างมากในตลาดโลกและกระตุ้นให้ประเทศคู่ค้าต้องเร่งหาทางออกเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น.
---
IMCT NEWS
-----------------------
ทรัมป์จะกลับมาใช้มาตรการภาษีนำเข้าในวงกว้างอีกครั้ง
5-7-2025
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลของเขาจะเริ่มแจ้งเตือนไปยังประเทศคู่ค้าต่าง ๆ เกี่ยวกับการเก็บภาษีนำเข้าใหม่ โดยเป็นการเตรียมฟื้นฟูมาตรการภาษีที่เคยระงับไว้ระหว่างการเจรจาการค้า ซึ่งจะหมดอายุในสัปดาห์หน้า
นับตั้งแต่กลับเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม ทรัมป์ได้เปิดฉาก แคมเปญการจัดเก็บภาษีนำเข้า โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศสหรัฐฯ โดยแคมเปญดังกล่าวได้ถึงจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น “วันปลดปล่อย” (Liberation Day) ที่มีการประกาศเก็บภาษี 10% ครอบคลุมสินค้านำเข้าทั้งหมด และมีการเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าสำหรับสินค้าที่มาจาก จีน เม็กซิโก แคนาดา และสหภาพยุโรป
บางประเทศได้รับการผ่อนผันชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันเพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจา ซึ่งกำหนดเวลาดังกล่าวจะหมดอายุในวันที่ 9 กรกฎาคม ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเมื่อเช้าวันศุกร์ว่า จะมีจดหมายแจ้งเตือนราว “10 ถึง 12 ฉบับ” ถูกส่งออกในวันนั้น และจะมีตามมาอีกใน “อีกไม่กี่วันถัดไป”
“ภายในวันที่ 9 ทุกประเทศจะถูกครอบคลุมทั้งหมด” เขากล่าว โดยหมายถึงเส้นตายที่ประเทศต่าง ๆ ต้องบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงอัตราภาษีที่สูงขึ้น
“อัตราภาษีเหล่านี้จะอยู่ในช่วงประมาณ 10% ถึง 20% ไปจนถึง 60% หรือ 70% ขึ้นอยู่กับประเทศและประเภทสินค้า” เขากล่าวเสริม
ทรัมป์เผยว่าประเทศเล็ก ๆ จะได้รับแจ้งเตือนในภายหลัง โดยอัตราภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป “มันเป็นเงินจำนวนมากสำหรับประเทศของเรา แต่เราก็ยังให้พวกเขาในราคาถูกอยู่ดี” เขากล่าว โดยไม่ได้ระบุชื่อประเทศหรือกลุ่มสินค้าอย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้ในสัปดาห์เดียวกันนี้ ทรัมป์ได้ตัดโอกาสในการขยายระยะเวลาเจรจาออกไปแล้ว
จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงกับสหราชอาณาจักรและเวียดนาม และประกาศหยุดยิงทางการค้ากับจีน หลังจากภาษีชุดก่อนก่อให้เกิด สงครามการค้า ที่สั่นสะเทือนตลาดโลก
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนท์ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า วอชิงตันใกล้จะบรรลุ ข้อตกลงระดับกรอบกับสหภาพยุโรป (EU) ที่อาจช่วยหลีกเลี่ยงการเก็บภาษี 50% กับสินค้าส่งออกจากยุโรปในสัปดาห์หน้า
ทรัมป์กล่าวหาสหภาพยุโรปมานานแล้วว่าใช้แนวปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยชี้ว่า ระบบกฎระเบียบของยุโรปทำให้เกิดความไม่สมดุลทางการค้าข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ขณะที่รัฐมนตรีการค้าของ EU ได้วิพากษ์วิจารณ์ข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษ-สหรัฐฯ ซึ่งคงอัตราภาษีพื้นฐานไว้ที่ 10% สำหรับสินค้าส่งออกของอังกฤษ แต่ลดภาษีสำหรับเหล็กและรถยนต์ พร้อมเตือนว่า EU อาจตอบโต้หากไม่ได้รับข้อตกลงที่ดีกว่า
เบสเซนท์กล่าวว่า มีประมาณ 100 ประเทศที่อาจเผชิญกับภาษีขั้นต่ำ 10% แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่บางประเทศจะสามารถเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงเพิ่มเติมได้ “ผมคิดว่าเราจะได้เห็นความเคลื่อนไหวมากมายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า” เขากล่าวกับ Bloomberg
องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เตือนในสัปดาห์นี้ว่า มาตรการภาษีดังกล่าวอาจ ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และ ฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกให้ลดลงเหลือ 2.9% จนถึงปี 2026
ที่มา RT
-------------------------
ข้อตกลงเวียดนามของทรัมป์เล็งเป้าโจมตีจีน
5-7-2025
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศข้อตกลงการค้ากับเวียดนามเมื่อวันพุธที่ผ่านมา แต่รายละเอียดที่มีอยู่น้อยนิดทำให้นักเศรษฐศาสตร์ตั้งคำถามว่า ข้อตกลงนี้จะส่งผลอย่างไรต่อการไหลเวียนของสินค้าจีนที่ถูกส่งผ่านเวียดนาม ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธว่าจะมีการเก็บภาษีศุลกากร 20% สำหรับสินค้าที่มาจากเวียดนาม และภาษี “การขนส่งผ่านประเทศ” (transshipping) 40% สำหรับสินค้าที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอื่นแล้วถูกส่งผ่านเวียดนามก่อนส่งไปยังสหรัฐฯ
ผู้ผลิตชาวจีนใช้วิธีการขนส่งผ่านประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงจากการส่งสินค้าตรงไปยังสหรัฐฯ โดยใช้เวียดนามเป็นศูนย์กลางหลักในการขนส่งผ่าน
ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทำเนียบขาวกล่าวหาว่าประมาณหนึ่งในสามของการส่งออกของเวียดนามมีต้นทางมาจากจีน และเรียกเวียดนามว่า "เป็นอาณานิคมของจีนคอมมิวนิสต์โดยปริยาย" ในการให้สัมภาษณ์กับ Fox News เมื่อเดือนเมษายน
เหยา จิ้น รองศาสตราจารย์ด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานจากมหาวิทยาลัยไมอามีกล่าวว่า ข้อตกลงล่าสุดนี้ดูเหมือนเป็นการโจมตีต่อการขนส่งสินค้าผ่านเวียดนามจากจีน อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้ภาษีเฉพาะต่อสินค้าที่ถูกขนส่งผ่านประเทศนั้นจะเป็นงานยากสำหรับฮานอย เนื่องจากต้องกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่าสินค้าใด “ผลิตในเวียดนาม” อย่างแท้จริง และสินค้าใดถือว่าเป็นการขนส่งผ่านประเทศ
"หากมาตรการนี้ใช้เฉพาะกับการขนส่งผ่านประเทศโดยสมบูรณ์ — กล่าวคือ สินค้าที่ส่งจากจีนไปยังสหรัฐฯ ผ่านท่าเรือของเวียดนามโดยไม่มีการประกอบหรือแปรรูปใด ๆ ในท้องถิ่น — ก็แทบจะไม่มีผลกระทบต่อเวียดนามเลย" เฟรเดอริก นอยมัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ภูมิภาคเอเชียของธนาคาร HSBC กล่าวกับ CNBC เมื่อวันศุกร์
อย่างไรก็ตาม หากภาษี 40% นี้ถูกนำมาใช้กับ "สินค้าจากเวียดนามทั้งหมดที่มีชิ้นส่วนจากจีนแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจเกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรง" นอยมันกล่าว
ในทำนองเดียวกัน แดน หวัง ผู้อำนวยการฝ่ายจีนของกลุ่มยูเรเชียกล่าวว่า "ยังไม่ชัดเจนว่ามาตรการนี้จะนำไปใช้ได้อย่างไร — โดยทั่วไปแล้วภาระหน้าที่ในการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (rules of origin) น่าจะตกอยู่ที่รัฐบาลฮานอย — และหากใช้สัดส่วนของชิ้นส่วนจากจีนเป็นเกณฑ์ จะกำหนดระดับแค่ไหนถึงจะถือว่ามากเกินไป"
จากการที่ผู้ผลิตจีนจำนวนมากย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนามตั้งแต่สมัยแรกของทรัมป์ ทำให้เกินดุลการค้าของเวียดนามกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่า สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 123.5 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว จากที่เคยต่ำกว่า 40 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018 ตามข้อมูลจากสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ
ต้นแบบสำหรับประเทศอื่น ๆ?
ข้อตกลงที่ทำขึ้นกับเวียดนาม ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศล่าสุดต่อจากสหราชอาณาจักรและจีน ที่สามารถบรรเทาภาระทางการค้าจากรัฐบาลทรัมป์ได้ และมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นต้นแบบสำคัญให้กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายอื่น ๆ ในการเจรจาการค้าที่กำลังดำเนินอยู่ นักวิเคราะห์กล่าว
หลายประเทศกำลังเร่งทำข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ก่อนที่ช่วงพักชั่วคราว 90 วันจะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่อัตราภาษี "ตอบโต้แบบเท่าเทียม" ของทรัมป์เตรียมจะมีผลบังคับใช้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนมากเคยได้รับประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในสมัยแรกของทรัมป์ โดยกลายเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางการส่งออกทางเลือก
ลินน์ ซ่ง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจาก ING ระบุว่า ข้อตกลงการค้าต่อไปจะขึ้นอยู่กับการประเมินของแต่ละประเทศเองว่า ตนมีความเชื่อมโยงกับตลาดสหรัฐฯ และจีนมากเพียงใด มีกิจกรรมการขนส่งผ่านประเทศมากน้อยแค่ไหน และผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศจะเป็นอย่างไร
ข้อมูลจากกรมศุลกากรของจีนระบุว่า การส่งออกจากจีนไปยังหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากผู้ส่งออกหันเบี่ยงเส้นทางไปยังตลาดทางเลือก ทั้งเพื่อขายให้กับตลาดภายในประเทศเหล่านั้น หรือเพื่อขนส่งผ่านประเทศไปยังสหรัฐฯ
สตีเฟน โอลสัน อดีตผู้เจรจาการค้าของสหรัฐฯ และปัจจุบันเป็นนักวิจัยอาวุโสเยี่ยมเยือนที่สถาบัน ISEAS-Yusof Ishak กล่าวกว่า หากข้อตกลงทางการค้าระหว่างเวียดนามและสหราชอาณาจักรเป็นตัวบ่งชี้ใด ๆ ข้อตกลงในอนาคตของสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ ก็น่าจะรวมมาตรการควบคุมการขนส่งผ่านประเทศ, ข้อผูกพันในการจัดซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น และ "เงื่อนไขที่มุ่งกดดันจีน" เข้าไว้ด้วย
ข้อกำหนดด้านความมั่นคงที่เข้มงวดเกี่ยวกับเหล็กและยาในข้อตกลงสหรัฐฯ-สหราชอาณาจักรนั้น ถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นความพยายามในการผลักจีนออกจากห่วงโซ่อุปทานของอังกฤษ
จีนยังไม่ตอบโต้เต็มรูปแบบ
จีนออกมาคัดค้านข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนามเมื่อวันพฤหัสบดี โดยแสดงความกังวลว่ารัฐบาลทรัมป์อาจใช้การเจรจาภาษีกับประเทศที่สามเป็นเครื่องมือในการจำกัดการส่งออกของจีน กระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ขณะนี้จีนกำลัง "ประเมินผลกระทบ" ของข้อตกลงดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้ประเทศอื่น ๆ ไม่ดำเนินการใด ๆ ที่จะเป็นการแสวงหาข้อตกลงกับสหรัฐฯ โดยแลกกับผลประโยชน์ของจีน
โอลสันกล่าวเพิ่มเติมว่า จีนมีแนวโน้มจะมองว่าสหรัฐฯ กำลังใช้ “การเจรจาภาษีแบบตอบโต้” กับประเทศที่สาม เพื่อบีบให้ประเทศเหล่านั้นช่วยกันผลักจีนออกจากห่วงโซ่อุปทาน เขาคาดว่าปักกิ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อประเทศต่าง ๆ ไม่ให้ยอมรับข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ และจะตอบโต้แนวปฏิบัติดังกล่าวในการเจรจากับวอชิงตัน อย่างไรก็ตาม ปักกิ่งน่าจะยังไม่ดำเนินการใด ๆ อย่างเป็นรูปธรรม จนกว่าจะมีรายละเอียดของข้อตกลงที่ชัดเจนขึ้น ผู้เชี่ยวชาญกล่าว พร้อมระบุว่าจีนจะรอดูทิศทางของข้อตกลงทางการค้าของประเทศอื่น ๆ ก่อน
"การล้มโต๊ะเพียงเพราะข้อตกลงการค้ากับเวียดนามฉบับเดียว ถือเป็นเรื่องไม่ฉลาด" ลินน์ ซ่ง จาก ING กล่าว
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สหรัฐฯ และจีนได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการจำกัดระหว่างกันหลายรายการ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อฉันทามติทางการค้าที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุในเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนพฤษภาคม โดยวอชิงตันได้ยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกในสินค้าหลายรายการ เช่น เอเทน ซอฟต์แวร์ออกแบบชิป และชิ้นส่วนเครื่องยนต์เจ็ท ขณะที่ปักกิ่งก็เตรียมเร่งกระบวนการอนุมัติการส่งออกแร่หายาก
ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุกรอบข้อตกลงทางการค้าเมื่อเดือนที่แล้วในการเจรจาที่กรุงลอนดอน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคม โดยขณะนี้สินค้าจากจีนยังคงถูกเก็บภาษีในอัตราประมาณ 55%
ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนามยังบ่งชี้ด้วยว่า ภาษีสุดท้ายที่ใช้กับสินค้าจีนไม่น่าจะต่ำกว่าอัตรา 40% ตามความเห็นของนิค มาร์โร หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Economist Intelligence Unit เนื่องจากการลดอัตราภาษีสำหรับการส่งตรงจากจีนอาจทำให้บริษัทต่าง ๆ กลับไปตั้งฐานการผลิตที่นั่นอีกครั้ง ซึ่งจะขัดต่อเป้าหมายโดยรวมของรัฐบาลทรัมป์ในการจำกัดขีดความสามารถของอุตสาหกรรมจีน
ที่มา CNBC