ทำไมเครื่องบินขับไล่รัสเซีย ถูกกว่าสหรัฐฯ หลายเท่า

ทำไมเครื่องบินขับไล่รัสเซีย 'ราคาถูกกว่าสหรัฐฯ หลายเท่า' เทคโนโลยี-แนวคิดกลยุทธ์-ประสิทธิภาพ?
4-8-2025
Wion News รายงาน เปิดเบื้องหลังราคาถูกของเครื่องบินขับไล่รัสเซีย เจาะทุกข้อแตกต่างเทียบสหรัฐฯ ทำไมเครื่องบินขับไล่ของรัสเซียจึงมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาอย่างมีนัยสำคัญ? ตัวเลือกสำคัญอย่างเครื่องบินขับไล่ล่องหน SU-57 (Su-57) ของรัสเซีย ตกราคาประมาณลำละ 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ F-22 Raptor ของสหรัฐฯ มีราคาสูงถึงลำละ 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สหรัฐฯ ซึ่งมีงบประมาณด้านกลาโหมมากกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นที่รู้จักจากปรัชญาการออกแบบที่ซับซ้อน รวมถึงระบบเรดาร์และโค้ดควบคุมขั้นสูง เครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯ บางครั้งมีราคาสูงกว่าเกาะส่วนตัวเสียอีก อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้ระยะประชิด (dogfight) เครื่องบินขับไล่ของรัสเซียยังคงสามารถเอาตัวรอดได้ด้วยความเร็วและอำนาจการยิงที่เหนือกว่า ตลาดเครื่องบินขับไล่ทั่วโลกจึงแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจน โดยในด้านหนึ่ง เครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯ เช่น F-35 Lightning II และ F-15EX มีราคาสูงถึง 80-100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อลำ ส่วนอีกด้านหนึ่ง เครื่องบินของรัสเซียอย่าง Su-30MKI, Su-35 และแม้แต่เครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 อย่าง Su-57 ก็มีราคาต่ำกว่านั้นอย่างมาก
ภาพรวมตลาดเครื่องบินขับไล่ปัจจุบัน สะท้อนความต่างอย่างชัดเจน เครื่องบินรบสหรัฐฯ เช่น F-35 Lightning II และ F-15EX มีราคาสูงถึงลำละ 80-100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เครื่องบินขับไล่ของรัสเซียอย่าง Su-30MKI, Su-35 รวมถึง Su-57 (Fifth generation) ยังมีราคาต่ำกว่าอย่างมาก
**ความแตกต่างที่สำคัญ**
หัวใจสำคัญของความแตกต่างอยู่ที่ “ปรัชญาการออกแบบ” และ “เทคโนโลยีขั้นสูง” ตัวอย่างเช่น F-22 Raptor มีโค้ดมากถึง 8 ล้านบรรทัดเพื่อประมวลผลระบบเรดาร์ อินฟราเรด และลดสัญญาณเสียง แม้จะเคยวางแผนผลิตถึง 750 ลำ สหรัฐฯ ตัดสินใจลดจำนวนเหลือ 195 ลำ เพราะต้นทุนการผลิตที่สูง และการประเมินว่าภัยคุกคามในสมรภูมิกลางอากาศลดลง
ตรงกันข้าม เครื่องบินขับไล่รัสเซียถูกออกแบบให้ “ทนทาน แข็งแรง และพร้อมใช้งานทันที” นี่เป็นมรดกจากยุคสหภาพโซเวียต ซึ่งให้ความสำคัญกับความเรียบง่ายเชิงกลไกและความโมดูลาร์ บริษัท Sukhoi และ Mikoyan ของรัสเซีย ดำเนินธุรกิจโดยพึ่งพาเงินอุดหนุนจากรัฐ ไม่ได้ขับเคลื่อนเพื่อผลกำไรสูงสุด จึงเน้นผลิตจำนวนมากในราคาต่ำ ส่งผลให้เครื่องบินรัสเซียครองตลาดการส่งออกอาวุธนานหลายทศวรรษ ในยุคสงครามเย็นโดยเฉพาะช่วงทศวรรษ 1980 สหภาพโซเวียตผลิตเครื่องบินทางทหารคิดเป็น 40% ของกำลังการผลิตทั่วโลก
**แนวโน้มการค้าเครื่องบินรบและการแข่งขันด้านเทคโนโลยี**
แม้รัสเซียเคยครองตลาดเครื่องบินรบในอดีต แต่ปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดลดลงอย่างต่อเนื่อง รายงานล่าสุดของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) ระบุว่า ปี 2024 ปริมาณส่งออกเครื่องบินรบของรัสเซียตามหลังสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และเกาหลีใต้ สำหรับปี 2025 F-16 Falcon (F-16) ยังคงเป็นเครื่องบินรบที่ใช้มากที่สุดในกว่า 21 กองทัพอากาศทั่วโลก รวมแล้วมากกว่า 2,000 ลำ
**เทคโนโลยีสูงและต้นทุนแฝง**
ความแตกต่างด้านราคาของเครื่องบินขับไล่รัสเซียกับสหรัฐฯ ไม่ได้สะท้อนแค่ความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีหรือข้อจำกัดอุตสาหกรรม แต่อยู่ที่แนวคิดยุทธศาสตร์ทางทหาร แม้ฝั่งตะวันตกจะขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยี แต่ในการรบกลางเวหา เครื่องบินขับไล่รัสเซียยังคงความสามารถในการต่อกรได้ โดยเฉพาะตระกูล Sukhoi Su-27 และ Mikoyan MiG-29 ขึ้นชื่อเรื่องความคล่องตัวสูงมากด้วยเทคโนโลยี vectoring thrust และระบบ HMCS ที่ผสานเข้ากับตัวเครื่อง ส่วนฝั่งตะวันตกเน้นระบบพรางตัว (Stealth), อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง และเรดาร์ เหนือชั้นในศึกนอกระยะสายตา (BVR Combat)
นักวิเคราะห์จึงเห็นว่าหลายประเทศที่มีความต้องการเครื่องบินขับไล่ราคาเอื้อมถึงแต่ประสิทธิภาพสูง จึงหันมาเลือกทางรัสเซียเป็นทางเลือกหลัก ทั้งนี้ “แม้เครื่องบินขับไล่รัสเซียจะราคาถูกกว่า แต่ต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (Lifecycle cost) และอัตราความพร้อมใช้งานในการปฏิบัติภารกิจจริง อาจทำให้เครื่องบินฝั่งตะวันตกได้เปรียบในบางภารกิจ” อดีตเสนาธิการทหารอากาศ อานิล โชปรา (Anil Chopra) กล่าวกับ Economic Times.
อินเดีย (India) คือกรณีศึกษาสำคัญในตลาดเครื่องบินขับไล่ ยาวนานมาแล้วที่อินเดียใช้งานทั้งแพลตฟอร์มฝั่งรัสเซียอย่าง Su-30MKI และฝั่งตะวันตกอย่าง Rafale (ราฟาล) Su-30MKI ให้ความคุ้มค่าเรื่องราคา ในขณะที่ Rafale โดดเด่นด้านระบบเรดาร์และอิเล็กทรอนิกส์ทันสมัย เมื่อยุคของ “โดรนราคาถูก” และสงครามอิเล็กทรอนิกส์เบ่งบาน เทรนด์อากาศยานรบอาจเทน้ำหนักให้กับเครื่องบินขับไล่ที่ทนทานและต้นทุนต่ำมากขึ้น
----
IMCT NEWS
ที่มา https://www.wionews.com/world/why-russian-jets-are-so-much-cheaper-1754142609345
Photograph: (Lockheed Martin | Flickr)