EU 'เร่งปิดดีลการค้าเสรีกับ อินโดนีเซีย' ก่อน ก.ย.

EU 'เร่งปิดดีลการค้าเสรีกับ อินโดนีเซีย' ก่อนกันยายน ภายใต้แรงกดดันภาษีทรัมป์
11-8-2025
Politico eu รายงานว่า สหภาพยุโรป (European Union – EU) และอินโดนีเซียเร่งเดินหน้าการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีแบบ Comprehensive Economic Partnership Agreement (CEPA) ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน 2025 หลังการเจรจาลากยาวเกือบสิบปี และผ่านเวทีเจรจาถึง 19 รอบ แรงขับสำคัญมาจากแรงกดดันทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ซึ่งเพิ่งขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรป 30% และประกาศข้อตกลงทางการค้ากับอินโดนีเซียที่กำหนดอัตราภาษี 19% ต่อสินค้าส่งออกจากอินโดนีเซียไปสหรัฐฯ โดยไม่มีการตอบโต้ด้วยภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐฯ
เมื่อเดือนที่แล้ว เออร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน (Ursula von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ต้อนรับปราโบโว ซูเบียนโต (Prabowo Subianto) ประธานาธิบดีอินโดนีเซียในกรุงบรัสเซลส์ พร้อมประกาศ “ความตกลงทางการเมือง” เพื่อเร่งปิดการเจรจาที่คั่งค้างและนำไปสู่การลงนามอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน โดยเธอระบุว่า “ยุโรปและอินโดนีเซียกำลังเลือกเส้นทางแห่งความเปิดกว้าง หุ้นส่วน และความรุ่งเรืองร่วมกัน” ขณะที่ปราโบโวย้ำว่าข้อตกลงนี้ต้องสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม สร้างงาน และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ
## อุปสรรคในการเจรจาและประเด็นที่ยังค้าง
แม้มีความคืบหน้า แต่การเจรจายังเผชิญข้อขัดแย้งหลายด้าน อินโดนีเซียยังใช้ข้อจำกัดด้านการนำเข้า กฎระเบียบที่แปรเปลี่ยนบ่อย การแบนส่งออกวัตถุดิบสำคัญอย่างนิกเกิล ซึ่งเป็นแร่หลักสำหรับการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าและสแตนเลส สหภาพยุโรปเคยชนะข้อพิพาทต่อองค์การการค้าโลก (World Trade Organization – WTO) เกี่ยวกับประเด็นนี้ในปี 2021 แต่การอุทธรณ์ถูกแขวนเพราะไม่มีองค์กรพิจารณาอุทธรณ์ที่ใช้งานได้ ทำให้การแบนยังคงอยู่และเป็นหนึ่งในจุดขัดแย้งหลัก
Fabian Gehl หัวหน้าฝ่ายเจรจาการค้าของ EU ระบุว่าความตกลงทางการเมืองครั้งนี้เป็น “เส้นทางชัดเจน” เพื่อปิดทุกช่องว่างในไม่กี่สัปดาห์ โดยหนึ่งในสามของเนื้อหาข้อตกลงยังคงอยู่ระหว่างการพูดคุย ได้แก่ บทว่าด้วยพลังงานและวัตถุดิบ การอนุญาตนำเข้า การค้ากับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และภาคบริการ
## ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและวัตถุดิบ
หนึ่งในหัวข้อที่ละเอียดอ่อนคือระเบียบการป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation – EUDR) ที่จะมีผลในวันที่ 30 ธันวาคม 2025 ซึ่ง EU จัดให้อินโดนีเซียอยู่ในกลุ่ม “มาตรฐานความเสี่ยง” ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกน้ำมันปาล์ม กาแฟ โกโก้ และสินค้าเกษตรอื่น อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก และต้องพิสูจน์ว่าสินค้าที่ส่งออกไปยุโรปไม่เกี่ยวกับการตัดไม้ทำลายป่า แม้ไม่สามารถต่อรองกฎนี้ในข้อตกลงการค้าได้ แต่มีการเจรจาทางคู่ขนานเพื่อหาทางบรรเทาผลกระทบ
ด้านวัตถุดิบสำคัญ EU ยังคงพยายามรักษาการเข้าถึงแหล่งทรัพยากร เช่น นิกเกิล เพื่อลดการพึ่งพาจีน ในขณะที่อินโดนีเซียต้องการใช้ทรัพยากรเหล่านี้สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศและสนับสนุนอุตสาหกรรมภายใน
## ความเป็นไปได้ในการปิดดีล
อดีตกรรมาธิการการค้าของ EU เซซิเลีย มาลมสตรอม (Cecilia Malmström) แสดงความประหลาดใจกับความคืบหน้า เพราะในช่วงที่เธอดำรงตำแหน่ง การเจรจาเคลื่อนตัวช้าอย่างมาก และมองว่าการปิดดีลภายในเดือนกันยายนอาจเป็นความท้าทาย แต่หากไม่ทัน ก็มีโอกาสได้ข้อสรุปภายในสิ้นปี ผู้นำรัฐสภายุโรปด้านการเจรจามองว่าเส้นตายกันยายน “เป็นไปได้” หากผู้เจรจาสามารถแก้ไขประเด็นทางเทคนิคทั้งหมดได้ตามกำหนดเวลา
หากสหภาพยุโรปและอินโดนีเซียสามารถปิดข้อตกลงนี้ได้ตามเป้าหมาย จะเป็นการสร้างความร่วมมือเศรษฐกิจครั้งสำคัญ เปิดตลาดใหม่ เสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานยุโรป และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับสี่ของโลก และเป็นผู้เล่นหลักในตลาดวัตถุดิบและสินค้าเกษตรโลก
-----
IMCT NEWS
ที่มา https://www.politico.eu/article/eu-finalize-trade-deal-indonesia-donald-trump-tariffs-ursula-von-der-leyen-prabowo-subianto/
Photo: Olivier Matthys via EPAฟ