.
'ทรัมป์เดินเกมถ่วงดุล จีน‑ญี่ปุ่น' สายตรงทรัมป์ถึง สี จิ้นผิง‑ทาคาอิจิ 'ไม่ยอมให้ประเด็นไต้หวันบั่นทอนสัมพันธ์ ปักกิ่ง‑วอชิงตัน'
26-11-2025
SCMP รายงานว่า นักวิเคราะห์มอง ทรัมป์คุมไฟไต้หวัน รักษาเสถียรภาพสัมพันธ์จีน‑สหรัฐฯ ท่ามกลางแรงเสียดทานจีน‑ญี่ปุ่น
-นักวิเคราะห์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศประเมินว่า การสนทนาทางโทรศัพท์ล่าสุดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐฯ (US) กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน (China) และนายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ (Sanae Takaichi) ของญี่ปุ่น (Japan) สะท้อนให้เห็นว่าวอชิงตันกำลังเดินเกมถ่วงดุลอย่างระมัดระวังในประเด็นไต้หวัน โดยไม่ต้องการให้ปัญหานี้กลายเป็นตัวแปรที่บั่นทอนการปรับเสถียรภาพความสัมพันธ์จีน‑สหรัฐฯ.
ผู้สังเกตการณ์ด้านการทูตระบุว่า การสื่อสารระดับสูงดังกล่าวยังเป็น “สัญญาณทางอ้อม” ถึงโตเกียวและพันธมิตรสหรัฐฯ รายอื่น ๆ ว่า ไต้หวันไม่ได้ถูกจัดวางไว้ในลำดับความสำคัญสูงสุดของรัฐบาลทรัมป์ในช่วงนี้ และไม่ควรถูกใช้เป็นชนวนทำลายบรรยากาศเชิงบวกที่เพิ่งเริ่มก่อตัวในความสัมพันธ์จีน‑สหรัฐฯ.
เมื่อวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีทาคาอิชิ เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เนื้อหาการพูดคุยเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างปักกิ่งและโตเกียว ภายหลังทาคาอิชิให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ญี่ปุ่นอาจพิจารณาใช้กำลังทหาร หากเกิดความขัดแย้งในช่องแคบไต้หวัน ซึ่งเป็นถ้อยแถลงที่รัฐบาลจีนออกมาประท้วงอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้นำญี่ปุ่นยังคงปฏิเสธที่จะถอนคำพูด.
สำนักข่าวซินหัว (Xinhua) ของจีนรายงานว่า ในการสนทนากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อวันจันทร์ ทรัมป์กล่าวว่า “สหรัฐฯ เข้าใจดีว่าประเด็นไต้หวันมีความสำคัญต่อจีนเพียงใด” ขณะที่สื่อ Fuji News Network ของญี่ปุ่นระบุว่า ทาคาอิชิได้บอกกับสื่อภายหลังการสนทนาว่า ทรัมป์ได้อธิบายภาพรวมความสัมพันธ์จีน‑สหรัฐฯ ในปัจจุบัน รวมถึงเนื้อหาการคุยกับผู้นำจีนให้เธอฟังด้วย.
จู้ เฝิง (Zhu Feng) คณบดีคณะศึกษานานาชาติแห่งมหาวิทยาลัยหนานจิง (Nanjing University) เห็นว่า การขยับของวอชิงตันสะท้อนเจตนารมณ์ของรัฐบาลทรัมป์ว่า “ไม่ต้องการให้ประเด็นไต้หวันถูกใช้เป็นเครื่องมือบิดเบือนหรือจับตัวประกันความสัมพันธ์จีน‑สหรัฐฯ” อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่า “ปัญหาใหญ่ในตอนนี้คือ ญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะไม่ถอยให้กับแรงกดดันทางการทูตจากปักกิ่งง่าย ๆ”.
จู้ เฝิง ยังชี้ว่า ท่าทีของวอชิงตันล่าสุดแสดงให้เห็นว่า “ลำดับความสำคัญด้านนโยบายภายในและต่างประเทศของทรัมป์ ไม่ได้โฟกัสที่ไต้หวันหรือเอเชีย‑แปซิฟิกเป็นหลักในเวลานี้” พร้อมเสริมว่า “อย่างน้อยสำหรับตอนนี้ ดูเหมือนว่าทรัมป์ไม่ต้องการถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งว่าด้วยไต้หวันมากเกินไป” พร้อมมองว่าการสนทนาระหว่างทรัมป์กับทาคาอิชิส่งสัญญาณชัดเจนถึงพันธมิตรของสหรัฐฯ ว่า ไต้หวันไม่ใช่ “วาระด้านการทูตหรือความมั่นคงลำดับต้น ๆ” ของเขาในช่วงนี้ ซึ่งอาจช่วยลดแรงเสียดทานและเปิดช่องให้บริหารจัดการประเด็นไต้หวันในทางการทูตได้ง่ายขึ้น.
มองไปข้างหน้า จู้ เฝิง ประเมินว่า หากมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับผู้นำระหว่างจีน‑สหรัฐฯ ในปีหน้า ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องออกแบบ “กลไกบริหารจัดการประเด็นไต้หวัน” ที่มีความสมดุลและยับยั้งชั่งใจมากขึ้น ทั้งในแง่ภาษาทางการเมืองและนโยบายในทางปฏิบัติ ซึ่งเขามองว่าเป็น “เป้าหมายร่วมกัน” ของทั้งสองประเทศ.
วอชิงตันยังคงยึดกรอบ “ความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์” (strategic ambiguity) ต่อบทบาทของตน หากปักกิ่งตัดสินใจใช้กำลังทางทหารกับเกาะไต้หวัน ท่าทีของทรัมป์ในประเด็นไต้หวันถือว่าไม่ชัดเทียบเท่ารัฐบาลก่อนหน้าอย่างโจ ไบเดน (Joe Biden) ที่เคยระบุอย่างตรงไปตรงมาว่าสหรัฐฯ จะปกป้องไต้หวันหากถูกกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) โจมตี แม้ทุกครั้งจะมีคำชี้แจงตามมาว่านโยบายจีนเดียวและกรอบสัมพันธ์จีน‑สหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ “ไม่เปลี่ยนแปลง”.
แรงกดดันที่ทรัมป์ใช้กดดันพันธมิตรให้เพิ่มงบป้องกันประเทศของตนเอง ก็ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า เขาอาจพร้อม “ใช้ไต้หวันเป็นตัวแปรต่อรอง” เพื่อแลกกับข้อตกลงการค้าที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ มากขึ้นกับปักกิ่ง ในขณะที่จีนยังคงยืนยันมุมมองว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และ “อาจต้องใช้กำลัง” หากไม่สามารถรวมชาติด้วยสันติวิธี.
ส่วนใหญ่ของประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ไม่ได้ให้การรับรองไต้หวันในฐานะรัฐเอกราชอย่างเป็นทางการ แต่สหรัฐฯ คัดค้านการใช้กำลังเปลี่ยนแปลงสถานะเดิม (status quo) และยืนยันพันธกรณีในการจัดหาอาวุธป้องกันตนเองให้ไต้หวันต่อไปภายใต้กฎหมายภายในของตน.
อู๋ ซินป๋อ (Wu Xinbo) คณบดีสถาบันศึกษานานาชาติแห่งมหาวิทยาลัยฟู่ตัน (Fudan University) ในเซี่ยงไฮ้ วิเคราะห์ว่า สายตรงของทรัมป์ในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า “ผู้นำสหรัฐฯ ต้องการรักษาเสถียรภาพความสัมพันธ์จีน‑สหรัฐฯ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในช่วงเวลานี้” พร้อมย้ำว่า ทรัมป์ “ตระหนักดีถึงความอ่อนไหวและความสำคัญของประเด็นไต้หวันต่อจีน” และไม่ได้เพียงแค่ใช้ความระมัดระวังด้วยตนเอง แต่ยังส่งสัญญาณเตือนพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นให้ใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นด้วย.
เขาเตือนด้วยว่า หากความตึงเครียดระหว่างจีน‑ญี่ปุ่นยกระดับต่อเนื่อง วอชิงตันอาจถูกดึงเข้าไปพัวพันมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งต่อความสัมพันธ์จีน‑สหรัฐฯ และเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย‑แปซิฟิกโดยรวม ขณะเดียวกัน แม้สงครามการค้าระหว่างจีน‑สหรัฐฯ จะยังรุนแรง แต่ทั้งสองฝ่ายก็สามารถ “หยุดยิงชั่วคราว” หลังการหารือแบบตัวต่อตัวราว 100 นาทีที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ เมื่อเดือนก่อน และอยู่ระหว่างพยายามประคับประคองความร่วมมือในบางมิติ.
ทรัมป์เองออกมากล่าวชื่นชม “ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเป็นพิเศษ” กับจีน และย้ำผ่านโซเชียลมีเดียถึงแผนเดินทางเยือนจีนในเดือนเมษายนปีหน้า ซึ่งมีกำหนดให้ผู้นำจีนเดินทางมาเยือนสหรัฐฯ เพื่อตอบแทนในเวลาถัดไป ซ่ง ลู่เจิ้ง (Song Luzheng) นักวิจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่ง China Institute มหาวิทยาลัยฟู่ตัน มองว่าบรรยากาศเชิงบวกดังกล่าว อธิบายได้ว่าทำไมทรัมป์จึงเร่งต่อสายถึงทาคาอิชิทันทีหลังการคุยกับสี จิ้นผิง.
“หลังจากเดินเกมไปเกือบหนึ่งปี ในที่สุดจีนและสหรัฐฯ ก็สามารถตรึงความสัมพันธ์ให้นิ่งขึ้นและได้ผลเชิงรูปธรรมบางประการ สำหรับผู้นำที่ชอบประกาศความสำเร็จต่อสาธารณะอย่างทรัมป์ เขาย่อมไม่ต้องการเห็นผลสำเร็จเหล่านั้นพังทลายลง” ซ่งกล่าว พร้อมเสริมว่า “ในอีกมุมหนึ่ง ในฐานะนักธุรกิจ เขาเข้าใจดีว่าการรักษาเสถียรภาพความสัมพันธ์จีน‑สหรัฐฯ ให้ดีที่สุด ย่อมนำมาซึ่งประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อสหรัฐฯ อย่างมาก” อีกทั้งยังเป็นการสร้างภูมิการเมืองที่มั่นคงขึ้นก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในปีหน้า.
หวัง อี้เว่ย (Wang Yiwei) ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศร่วมสมัย มหาวิทยาลัยประชาชนแห่งประเทศจีน (Renmin University) ระบุว่า ภายในพันธมิตรสหรัฐฯ‑ญี่ปุ่นเองก็มี “ความยุ่งยากซับซ้อน” อยู่ไม่น้อย “ทรัมป์จำเป็นต้องทั้ง ‘กดญี่ปุ่น’ และ ‘ปลอบจีน’ ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะในช่วงที่เขาโฟกัสประเด็นสงครามยูเครน… และยังคาดหวังว่าจีนจะมีบทบาทบางอย่างในเวทีดังกล่าว”.
เขาเสริมว่า ญี่ปุ่นมีคำนวณทางการเมืองของตนเอง ขณะที่สหรัฐฯ ก็มียุทธศาสตร์ภาพใหญ่ต่อความสัมพันธ์จีน‑สหรัฐฯ ซึ่งทำให้เกมนี้กลายเป็น “เกมยุทธศาสตร์หลายชั้น” ที่ทุกฝ่ายต่างพยายามรักษาผลประโยชน์ของตน
นอกเหนือจากทรัมป์ ยังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงสหรัฐฯ อีกหลายรายที่เดินสายหารือทั้งกับจีนและญี่ปุ่น จอร์จ กลาสส์ (George Glass) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น ระบุผ่านโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันอังคาร เกี่ยวกับการพบปะกับชินจิโร โคอิซึมิ (Shinjiro Koizumi) รัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น ว่า “สหรัฐฯ จะยังคงสนับสนุนพันธมิตรที่สำคัญที่สุดในอินโด‑แปซิฟิกอย่างไม่หวั่นไหว”
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/news/china/diplomacy/article/3334139/trumps-calls-xi-and-takaichi-hint-he-wont-let-taiwan-derail-beijing-ties?module=top_story&pgtype=homepage