นักวิเคราะห์ชี้ สหรัฐฯ-EU-ญี่ปุ่น-ทุ่มงบฯ กลาโหม
นักวิเคราะห์ชี้ สหรัฐฯ-EU-ญี่ปุ่น-ทุ่มงบฯ กลาโหม เป้าหมายคือ ใช้ “ยุทโธปกรณ์” กระตุ้นอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ' ลดพึ่งพาจีน
10-12-2025
SCMP รายงานว่า กว่า 60 ปีหลังจากนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ เอ.เจ.พี. เทย์เลอร์ (A.J.P. Taylor) เคยกล่าวว่า “สงครามคือมารดาแห่งนวัตกรรม” โลกวันนี้ดูเหมือนกำลังกลับมาสู่ยุคที่งบประมาณทางทหารถูกใช้เป็นตัวเร่งให้ภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ (US) สหภาพยุโรป (EU) และญี่ปุ่น (Japan) ซึ่งกำลังเร่งเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหม ทั้งเพื่อเสริมอำนาจทางทหารและเพื่อเป้าหมายเชิงเศรษฐกิจ–เทคโนโลยี
เทย์เลอร์เคยยกตัวอย่างว่า สงครามโลกครั้งที่หนึ่งให้กำเนิดรถถัง เครื่องบิน และแก๊สพิษ ส่วนสงครามโลกครั้งที่สองสร้างเรดาร์ เครื่องยนต์ไอพ่น และระเบิดปรมาณู ขณะที่ยุคสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตให้กำเนิดระบบนำทางผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต ปัจจุบัน แนวคิด “งบทหารเพื่อการเติบโต” (military-driven growth) ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะในประเทศที่อุตสาหกรรมหนักกำลังซบเซา
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า กลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้วหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ EU และญี่ปุ่น ต่างกำลังเร่งขึ้นงบกลาโหมและฟื้นฟูฐานการผลิตด้านยุทโธปกรณ์ ขณะเดียวกันก็ตั้งเป้าหมายไม่เป็นทางการด้านอื่น เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ การชะลอภาวะ deindustrialisation และการจุดประกายเทคโนโลยีใหม่ ๆ หลายรัฐบาลพูดเป้าหมายเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา ขณะที่บางประเทศเลือกสื่อสารอย่างระมัดระวังมากกว่า แต่บรรดานักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่ามี “แรงจูงใจหลายชั้น” อยู่ในกระบวนการนี้
เฉิน เฟิ่งอิ่ง (Chen Fengying) นักวิจัยจากสถาบัน China Institutes of Contemporary International Relations (CICIR) ซึ่งเชื่อมโยงกับกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐของจีน ระบุว่า “อุตสาหกรรมทหารยุคใหม่ส่วนใหญ่เป็น dual‑use ไม่ได้มีลักษณะทหารล้วน ๆ ผ่านงบทหาร รัฐสามารถระดมศักยภาพของฐานอุตสาหกรรมทั้งหมดได้” หนึ่งในวัตถุประสงค์ร่วมที่ชัดที่สุดคือ การลดการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่อุปทานด้านกลาโหม
นักเศรษฐศาสตร์บางรายเรียกกระแสนี้ว่า “Military Keynesianism” หรือการใช้งบประมาณด้านทหารเป็นเครื่องมือด้านการคลังเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยคาดว่าการแข่งขันด้านงบทหารในมิติใหม่นี้จะเร่งตัวขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
สหรัฐฯ ใช้งบทหารขับเคลื่อน “strategic reshoring”
โจว เชา (Zhou Chao) นักวิจัยจาก Anbound ธิงก์แท็งก์อิสระในปักกิ่ง ระบุว่า สหรัฐฯ เป็นผู้นำในการใช้งบกลาโหมฟื้นภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ยุโรปและญี่ปุ่นกำลังพยายามเร่งตาม “สหรัฐฯ ใช้แนวทางที่เชิงรุกที่สุด ญี่ปุ่นเดินเกมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนยุโรปขับเคลื่อนด้วยแรงกดดันเชิงฉุกเฉินจากสถานการณ์ความมั่นคง”
สตีเฟน มีแรน (Stephen Miran) กรรมการคณะผู้ว่าการ Federal Reserve และผู้มีบทบาทสำคัญในยุทธศาสตร์ “reciprocal tariff” ของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เขียนไว้เมื่อปีก่อนว่า “นโยบายอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนโดยงบทหาร” สามารถสร้างผลเชิงบวกกระจายตัวสูงต่อเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็สนับสนุนเป้าหมายด้านความมั่นคงและการรีอุตสาหกรรม (re‑industrialisation)
ในบทวิเคราะห์ของสถาบัน Manhattan Institute ซึ่งเป็นธิงก์แท็งก์สายอนุรักษนิยม มีแรนชี้ว่า “การรีอุตสาหกรรมสามารถได้รับแรงหนุนผ่านดีมานด์จากการจัดซื้อจัดจ้างด้านกลาโหม” และต่างจากการอุดหนุนเทคโนโลยีพลังงานสีเขียวหรือยานยนต์ไฟฟ้าที่รัฐต้องเดา “ความต้องการในอนาคต” แนวทางที่อิงกับความต้องการจริงของกองทัพกลับมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า เพราะมีเกณฑ์ชัดเจนคือ “อะไรที่จำเป็นต่อการปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน”
สำหรับปีงบประมาณ 2026 ที่เริ่มต้นวันที่ 1 ตุลาคม สหรัฐฯ เสนอเพิ่มงบกลาโหม 13.4% เป็นราว 1.01 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมงบด้านการต่อเรือรบ การจัดซื้อกระสุน–อาวุธนำวิถี และขีปนาวุธโจมตีระยะไกล
โจวอธิบายว่า วอชิงตันกำลัง “ใช้” งบกลาโหมราวกับอยู่ในสภาวะ “เศรษฐกิจสงคราม” (wartime economy) เพื่อขับเคลื่อนการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ (reshoring) “นี่ไม่ใช่เพียงการดึงการผลิตกลับบ้านทั่วไป แต่คือ ‘strategic reshoring’ ที่ศูนย์กลางคืออุตสาหกรรมทหาร ขับเคลื่อนด้วยนโยบายการคลัง มีเป้าหมายชัด ระดับความเข้มข้นสูง และกินห่วงโซ่อุปทานกว้างที่สุด” เขากล่าว พร้อมชี้ว่าแนวทางนี้สะท้อน “Military Keynesianism เชิงยุทธศาสตร์” ซึ่งใช้งบกลาโหมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเครื่องมือทางการคลัง ทั้งกระตุ้นการจ้างงานและซ่อมแซมห่วงโซ่การผลิต
โจวเสริมว่า เป้าหมายไม่ใช่เพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่เน้นการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ ลดการพึ่งพาจากภายนอก เสริมความพร้อมรบ และเพิ่มความยืดหยุ่นอุตสาหกรรมท่ามกลางการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์กับจีน
เฉิน จาก CICIR มองว่า แม้รัฐบาลทรัมป์จะเพิ่มงบกลาโหม แต่ไม่ได้มุ่ง “ทำสงคราม” หากใช้กรอบวาทกรรมด้านความมั่นคงมาเป็นเครื่องมือระดมทุนและแรงสนับสนุนจากภาคเอกชน พร้อมลดแรงต้านในสภาคองเกรส “เป้าหมายคือดึงสมาธิกลับมาที่วาระในประเทศ ยกระดับขีดความสามารถเทคโนโลยี และชุบชีวิตภาคการผลิต ซึ่งเป็นแก่นของสโลแกน ‘Make America Great Again’” เธอกล่าว พร้อมประเมินว่า แม้อุตสาหกรรมของสหรัฐฯ อาจไม่ครบวงจรเท่าจีน แต่หากเดินเกมนี้ต่อเนื่อง สหรัฐฯ สามารถดึงเทคโนโลยีและขีดความสามารถเชิงยุทธศาสตร์สำคัญกลับบ้านได้เกือบทั้งหมด รวมถึงกลุ่มแร่หายากที่เคยเป็น “ไพ่เด็ด” ของปักกิ่งในสงครามการค้ารอบใหม่
ภาพการเยือนฐานทัพเรือสหรัฐฯ ที่โยะโกะสุกะ (Yokosuka) เมื่อ 28 ตุลาคม 2025 ซึ่งนายกรัฐมนตรีซาเนะ ทาคาอิจิ (Sanae Takaichi) ของญี่ปุ่น และประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวปราศรัยต่อกำลังพลบนเรือบรรทุกเครื่องบิน USS George Washington ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของยุคใหม่ที่มิติเศรษฐกิจ–อุตสาหกรรมและความมั่นคงถูกเชื่อมเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น
ญี่ปุ่น: ปรับสถานะความมั่นคง–ปลุกอุตสาหกรรมกลาโหมที่ซบเซา
ฝั่งญี่ปุ่น รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีซาเนะ ทาคาอิจิ ตั้งเป้าให้ญี่ปุ่นเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในอุตสาหกรรมอาวุธโลก พร้อมเดินหน้าผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกยุทโธปกรณ์ และเร่งลงทุนในฐานอุตสาหกรรมกลาโหมในประเทศ
นักวิเคราะห์มองว่า แรงขับเคลื่อนหลักของโตเกียวต่างจากวอชิงตัน โดยญี่ปุ่นมี “เป้าหมายทางการเมืองและยุทธศาสตร์” เป็นหัวใจสำคัญ กล่าวคือ การสลัดข้อจำกัดจากรัฐธรรมนูญหลังสงครามโลก การขยับสู่สถานะ “ประเทศปกติ” (normal country) ในกรอบความมั่นคงโลก และการยืนยันความเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในสนธิสัญญาความมั่นคงกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของพรรค Liberal Democratic Party (LDP) ที่ครองอำนาจมาแทบต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1955
กระนั้น ปัจจัยด้านเศรษฐกิจก็มีน้ำหนัก เพราะอุตสาหกรรมกลาโหมญี่ปุ่นเผชิญปัญหากิจกรรมต่ำมานาน โจวชี้ว่า “ปัญหาของญี่ปุ่นอยู่ที่สภาพ ‘low activity’ ยืดเยื้อในอุตสาหกรรมกลาโหม” นโยบายกดราคา การสั่งซื้อที่เบาบาง และข้อจำกัดด้านการส่งออก ทำให้ผู้ผลิตรายใหญ่จำนวนมากหลีกเลี่ยงตลาดอาวุธ ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานด้านยุทโธปกรณ์เสื่อมสภาพและเสี่ยงแยกขาด
เพื่อแก้สถานการณ์ คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้อนุมัติงบประมาณเสริมปลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งรวมงบกลาโหมเพิ่มเติม 1.1 ล้านล้านเยน (ราว 7.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ดันยอดรวมงบกลาโหมปีนี้ขึ้นไปที่ 11 ล้านล้านเยน หรือมากกว่า 2% ของจีดีพีญี่ปุ่น
ยุโรป: ปรับอุตสาหกรรมทหารกลางแรงกดดันสงครามยูเครน
ฝั่งยุโรป อียูก็กำลังเพิ่มงบด้านกลาโหมอย่างเร่งตัว โดยข้อมูลของ European Council ระบุว่า การลงทุนด้านกลาโหมของกลุ่มเพิ่มขึ้น 42% ในปีที่ผ่านมา แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 106,000 ล้านยูโร และคาดว่าปีนี้จะขึ้นใกล้ 130,000 ล้านยูโร
ในเดือนมีนาคม คณะกรรมาธิการยุโรปเปิดตัวแผน “ReArm Europe Plan” มูลค่า 800,000 ล้านยูโร ซึ่งเอกสารของ European Parliament ระบุว่าเป็น “ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายด้านกลาโหมยุโรปผ่านกลไกการเงินหลากหลายรูปแบบ”
เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ นักวิชาการอย่าง ชุย หงเจี้ยน (Cui Hongjian) อดีตนักการทูตจีนและหัวหน้าศูนย์ศึกษาอียูแห่ง Beijing Foreign Studies University ชี้ว่า แรงขับเคลื่อนของยุโรปโน้มเอียงไปทาง “ความมั่นคง” มากกว่าเศรษฐกิจ เนื่องจากสงครามยูเครนยืดเยื้อและความไม่แน่นอนเรื่องบทบาทของสหรัฐฯ ใน NATO หลังวอชิงตันลดน้ำหนักความผูกพันต่อพันธมิตรยุโรป
อย่างไรก็ดี ปัจจัยด้านเศรษฐกิจก็สำคัญไม่แพ้กัน เดิมทีอียูหวังใช้การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและดิจิทัลเป็นเครื่องยนต์เติบโต แต่ความกังวลด้านความมั่นคงพลังงานจากสงครามยูเครน รวมถึงพื้นที่ความร่วมมือด้านดิจิทัลกับสหรัฐฯ และจีนที่หดแคบลง ทำให้แนวทางดังกล่าวสะดุด
“การเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมทหารในปัจจุบันจึงสอดคล้องทั้งกับ ‘ความถูกต้องทางการเมือง’ และความต้องการด้านความมั่นคง” ชุยกล่าว “พร้อมกันนั้นยังมีศักยภาพจะกลายเป็นเครื่องยนต์การเติบโตใหม่ ทำให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศอาจกลายเป็นทิศทางใหญ่ของยุโรปในอีก 4–5 ปีข้างหน้า”
เขาเสริมว่า การเปลี่ยนผ่านนี้มีลักษณะ “ตอบสนองฉุกเฉิน” มากกว่าการวางยุทธศาสตร์ล่วงหน้าอย่างชัดเจน เช่นกรณีสหรัฐฯ หรือแม้แต่ญี่ปุ่น โดยยุโรปเผชิญข้อจำกัดจากการแตกเป็นหลายรัฐชาติ ทำให้ยากจะสร้างห่วงโซ่ครบวงจรตั้งแต่ลงทุน วิจัย–พัฒนา การผลิต ไปจนถึงการขาย
อลิเซีย การ์เซีย–เอร์เรโร (Alicia Garcia‑Herrero) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอเชีย–แปซิฟิกของธนาคารเพื่อการลงทุน Natixis ระบุว่า ความซับซ้อนในยุโรปเกิดจาก “จำนวนประเทศที่มากเกินไป” จึงไม่อาจมองอนาคตของ Military Keynesianism แบบยุโรปอย่างมองโลกในแง่ดีได้เกินไป อีกทั้งอียูยังพึ่งพาซัพพลายเออร์ต่างชาติในวัตถุดิบและเทคโนโลยีสำคัญด้านกลาโหมสูง ทำให้ศักยภาพการใช้เม็ดเงินกลาโหมในการฟื้นฟูการผลิตในประเทศถูกจำกัด
เป้าหมายร่วม: ลดพึ่งพาจีน–ขยับขึ้นห่วงโซ่เทคโนโลยี
การ์เซีย–เอร์เรโรชี้ว่า งบกลาโหมฝั่งตะวันตกขับเคลื่อนไม่ได้มีมิติการเมืองอย่างเดียว หากยังเป็นการตอบโจทย์เชิงเศรษฐกิจ “สหรัฐฯ และยุโรปกังวลว่าตนเองถดถอยในภาคการผลิตอุตสาหกรรม และพึ่งพาจีนมากเกินไป โดยเฉพาะในห่วงโซ่อุตสาหกรรมทหาร–เทคโนโลยีขั้นสูง” เธอกล่าว พร้อมระบุว่าจุดมุ่งหมายสำคัญคือ “ขยับขึ้นบันไดมูลค่าเพิ่มและครองความเป็นผู้นำด้าน R&D”
โจวจาก Anbound เตือนว่า การฟื้นอุตสาหกรรมผ่านการขยายงบกลาโหมย่อมมีข้อจำกัด โดยเฉพาะภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน จีนก็เผชิญแรงกดดันจากการถูกกันออกจากห่วงโซ่อุปทานข้ามชาติที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในอดีต ซึ่งเป็นความท้าทายต่อการขยายตัวทั่วโลกของภาคการผลิตขั้นสูงของจีนเอง
อย่างไรก็ตาม เขาประเมินว่า การที่สหรัฐฯ และยุโรปทุ่มทรัพยากรกลับไปที่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมทหาร อาจสร้าง “ช่องว่าง” และ “การขาดกำลังการผลิต” ในภาคพลเรือน ซึ่งอาจกลายเป็นโอกาสใหม่ของจีน “เมื่อการขยายตัวด้านทหารในระดับใหญ่ดูดซับทรัพยากรจากอุตสาหกรรมพลเรือน จีนอาจเห็นดีมานด์ถ่ายเทเข้ามาในหลายสาขา เช่น เครื่องจักรเฉพาะทาง วัสดุพิเศษ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์พลังงานใหม่” โจวกล่าว
ในภาพรวม แนวโน้ม “Military Keynesianism เชิงยุทธศาสตร์” ของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป จึงไม่เพียงเป็นการเตรียมรับภัยคุกคามด้านความมั่นคง แต่ยังเป็นยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ–เทคโนโลยีเพื่อจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทานโลกใหม่ และลดอิทธิพลของจีนในโครงสร้างอำนาจเศรษฐกิจโลกยุคหน้า
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/economy/china-economy/article/3335612/us-eu-and-japan-boost-defence-spending-stimulus-their-true-intention?module=inline&pgtype=article