.
Asia Society คาดปี 2026 จีนเผชิญแรงกดดันเศรษฐกิจ กับภาวะหนี้ท่วม–การแข่งขันกับสหรัฐฯกับสหรัฐฯต่อเนื่องเรื่องภูมิรัฐศาสตร์
13-12-2025
รายงานของ Asia Society เตือนว่า ปี 2026 จะเป็นช่วงที่จีนต้องเผชิญแรงกดดันด้านเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ท่ามกลางความพยายามรักษาการเติบโตโดยไม่สูญเสียการควบคุมทางการเมือง ขณะที่ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ยังคงตึงเครียดแม้มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นกว่าปีก่อน
รายงานประจำปีชื่อ “China 2026: What to Watch” ซึ่งเผยแพร่โดยศูนย์วิเคราะห์จีน (Centre for China Analysis) แห่งสถาบันเอเชียโซไซตี (Asia Society) เมื่อวันพุธ ระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตันในปีหน้าจะ “มั่นคงขึ้นเล็กน้อย” หลังการพบกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ที่เกาหลีใต้เมื่อปลายปี 2025 แต่เสถียรภาพดังกล่าวตั้งอยู่บน “การตระหนักร่วมกันถึงศักยภาพของแต่ละฝ่ายในการสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจซึ่งกันและกัน” มากกว่าจะเกิดจากความเข้าอกเข้าใจตรงกัน
รายงานกล่าวว่า “ทั้งสองฝ่ายต่างเร่งกำจัดจุดอ่อนเชิงยุทธศาสตร์ของอีกฝ่าย” โดยสหรัฐฯ พยายามลดการพึ่งพาจีนในแร่หายาก (rare earth minerals) ขณะที่จีนก็เดินหน้าทลายการผูกขาดของสหรัฐฯ ในเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง ทำให้ข้อตกลงทวิภาคีในอนาคตมีแนวโน้มเป็นไปในลักษณะ “ยุทธวิธีมากกว่ายุทธศาสตร์”
ลิซซี ลี (Lizzi Lee) นักวิชาการอาวุโสของศูนย์ฯ และหนึ่งในผู้เขียนรายงานกล่าวว่า “เมื่อมองไปข้างหน้า ปี 2026 จะไม่ใช่เรื่องของชัยชนะหรือความตกต่ำ แต่เป็นเรื่องของ ‘การเปลี่ยนผ่าน การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ และความตึงเครียด’”
รายงานชี้ว่าแม้ท่าทีทางการเมืองระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะไม่รุนแรงเหมือนปีก่อน แต่ “ความหวาดระแวงซึ่งกันและกันจะยังคงอยู่ และพื้นที่แห่งการประนีประนอมยังแคบและเปราะบาง”
ความท้าทายทางเศรษฐกิจและการบริหารของสี จิ้นผิง
Asia Society ระบุว่า จีนกำลังเผชิญ “ทางตันทางโครงสร้าง” ในขณะที่ต้องรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจท่ามกลางหนี้สะสมของรัฐบาลท้องถิ่นสูงระดับ 90–110 ล้านล้านหยวน (ราว 12–15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งเป็นหนึ่งในภาระหนี้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงการว่างงานของเยาวชนที่สูง โครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ทรุดตัวต่อเนื่อง
รายงานระบุว่า หลังมาครบ 13 ปี ประธานาธิบดีสีมีความชัดเจนในวาระหลัก ได้แก่ การรวมศูนย์อำนาจทางการเมือง ความมั่นคงระดับชาติ การพัฒนาเชิงคุณภาพ ความอิสระทางเทคโนโลยี และการทำให้กองทัพทันสมัย แต่ทั้งหมดมาพร้อม “ต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคม”
“การรวมศูนย์ทำให้ขาดความริเริ่ม การใช้มุมมองด้านความมั่นคงมากเกินไปทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจ และการให้น้ำหนักกับเทคโนโลยีอาจเบียดการบริโภคในภาคครัวเรือน” รายงานระบุ “ความสามารถของพรรคคอมมิวนิสต์ในการจัดการสมการเหล่านี้จะเป็นตัวชี้ว่าระบอบของสี จิ้นผิง จะกลายเป็นระบบที่ยืดหยุ่น หรือแข็งตัวเกินแก้ในอนาคต”
ผู้นำรุ่นใหม่และความเสี่ยงทางการเมือง
รายงานคาดว่า ภายในปี 2027 ผู้นำระดับจังหวัดที่เกิดในทศวรรษ 1970 จะครองสัดส่วนถึง 60% ของคณะกรรมการประจำจังหวัด และ 40% ของคณะกรรมการกลางพรรค ความก้าวหน้าในระบบราชการของบุคลากรกลุ่มนี้ซึ่งมีการศึกษาดีและคุ้นเคยกับเทคโนโลยี จะพึ่งพาความจงรักภักดีมากกว่าความสามารถ สร้างระบบที่ “มั่นคงแต่ไม่สร้างสรรค์” ซึ่งอาจทำให้การประนีประนอมกับวอชิงตันยากขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเผชิญหน้า
รายงานยังกล่าวถึง “ภาวะห่านทองคำ” ของสี จิ้นผิง ว่า “ชนชั้นผู้ประกอบการที่เคยสร้างปาฏิหาริย์เทคโนโลยีของจีน กลับถูกมองว่าเป็นภัยต่ออำนาจของพรรค สีไม่ได้ต้องการฆ่าห่านทองคำ แต่ต้องการผูกมันไว้” ซึ่งอาจทำให้การปฏิรูปเชิงนวัตกรรมของจีน “หยุดชะงักกลางทาง”
ภาวะเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
Asia Society ประเมินว่า ในปี 2026 จีนยังคงมีศักยภาพสร้างความก้าวหน้าในสาขา หุ่นยนต์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ปัญญาประดิษฐ์ (AI+) พลังงานสีเขียว และอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง แต่แรงหนุนด้านเทคโนโลยีอาจถูกบดบังด้วยภาระหนี้ท้องถิ่นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัว
รายงานยังเตือนว่าความพยายามของจีนในการกระตุ้น “การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยผู้บริโภค” ต้องอาศัยการยุตินโยบาย “การกดดอกเบี้ยต่ำเทียม (financial repression)” ที่เอื้อต่อภาคอุตสาหกรรมและรัฐวิสาหกิจ แต่จะกระทบต่อรายได้ภาครัฐและอำนาจควบคุมเศรษฐกิจของพรรค
หากรัฐบาลยังเลือกคงสถานะปัจจุบันไว้ รายงานเตือนว่า “ความไม่มั่นคงทางสังคมอาจเพิ่มขึ้น” จากภาวะรายได้ไม่เท่ากันและโอกาสที่จำกัดสำหรับคนรุ่นใหม่
ประเด็นไต้หวันและความมั่นคงภูมิภาค
รายงานคาดว่า “สถานะเดิม” ในช่องแคบไต้หวัน (Taiwan Strait) จะยังดำรงอยู่ตลอดปี 2026 แต่ความหมายของคำว่า “สถานะเดิม” ได้เปลี่ยนไป เนื่องจากกองทัพจีนมีความเคลื่อนไหวเข้มข้นมากขึ้นในรอบเกาะไต้หวัน
นีล โธมัส (Neil Thomas) นักวิชาการร่วมเขียนรายงาน กล่าวว่า “ปักกิ่งต้องการชนะใจประชาชนของไต้หวัน ไม่ใช่ใช้กำลัง แต่เครื่องมือที่มีอยู่จำกัด ทำให้จีนหันมาใช้มิติทางทหารมากขึ้น ซึ่งกลับสร้างผลตรงข้าม”
แนวทางดังกล่าว “บั่นทอนคำกล่าวของจีนเองเรื่องการรวมชาติอย่างสันติ” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “สถานการณ์นี้จะเลวร้ายลงก่อนจะดีขึ้น”
รายงานยังเตือนว่า ปัญหาประชากรสูงอายุ การว่างงานของเยาวชน และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ โดยจีนมีมหาเศรษฐี 814 คน มากกว่าสหรัฐฯ ที่มี 800 คน คือความท้าทายเชิงโครงสร้างที่อาจกัดกร่อนความมั่นคงจากภายใน
บาร์เคลย์ แบรม (Barclay Bram) หนึ่งในผู้เขียนรายงาน ระบุว่า “แม้จีนแสดงพลังทางเศรษฐกิจในเวทีโลก แต่ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของจีนอาจอยู่ภายในประเทศเอง เพราะมีคนกว่า 200 ล้านคนทำงานไม่มั่นคงในระบบเศรษฐกิจกิ๊ก (gig economy)”
ท้ายรายงาน Asia Society สรุปว่า “ประสบการณ์ของจีนสะท้อนความท้าทายร่วมของเศรษฐกิจทั่วโลก ว่าจะปรับโมเดลการเติบโต ระบบสวัสดิการ และนโยบายครอบครัวอย่างไรให้เหมาะกับสังคมสูงวัยที่กำลังก้าวมาถึง”
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/news/china/money-wealth/article/3335961/china-faces-2026-marked-economic-strains-and-uneasy-rivalry-us-asia-society?module=topic_widget&pgtype=article