ขอบคุณภาพจาก CGTN
25.10.2024
สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน หรือกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากเดโมแครต ใครจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ โดยที่พรรคเดโมแครตน่าจะเสนอกฎระเบียบใหม่ที่ชัดเจน ในขณะที่ทรัมป์ก็ใช้วิธีการตรงไปตรงมามากขึ้น
คาดว่าจะมีความพยายามใหม่ๆ เพื่อชะลอการนำเข้าชิปแบบง่ายๆจากจีน รถยนต์อัจฉริยะ และสินค้านำเข้าอื่นๆ ควบคู่ไปกับการควบคุมเครื่องมือผลิตชิปและชิป AI ราคาแพงที่มุ่งหน้าสู่จีน ตามที่อดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลของไบเดนและทรัมป์ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และบุคคลใกล้ชิดกับการเคลื่อนไหวดังกล่าวระบุ
ในการเสนอตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ แฮร์ริสจากพรรคเดโมแครตกล่าวว่าเธอจะทำให้มั่นใจว่า "สหรัฐจะเป็นฝ่ายชนะการแข่งขันในศตวรรษที่ 21 นี้ ไม่ใช่จีน " ในขณะที่ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันเสนอให้เพิ่มภาษีอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ทุกปัญหา ซึ่งรวมถึงการต่อสู้กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนด้วย
โดยสรุปคือ การต่อสู้เพื่อป้องกันไม่ให้เงินและเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เข้ามาเสริมศักยภาพทางการทหารและปัญญาประดิษฐ์ของจีนนั้นจะต้องทวีความรุนแรงมากขึ้นภายใต้การนำของแฮร์ริสหรือทรัมป์
ปีเตอร์ แฮร์เรลล์ อดีตเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติในรัฐบาลของไบเดนกล่าวว่า “เรากำลังเห็นการเปิดแนวรบใหม่ในการทำสงครามเย็นด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ข้อมูล ซอฟต์แวร์ และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ”
เมื่อเดือนที่แล้ว สหรัฐฯ ได้เสนอกฎเกณฑ์ห้ามรถยนต์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตซึ่งผลิตจากจีนแล่นบนท้องถนนในสหรัฐฯ ในขณะที่กฎหมายที่ผ่านเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาระบุว่า TikTok แอปทำคลิปวิดีโอสั้น จะต้องให้บริษัทแม่ที่เป็นชาวจีน ขายภายในปีหน้า มิฉะนั้นจะถูกแบน
ฮาร์เรลล์กล่าวว่า “มีความกังวลมากมายว่าบริษัทจีนจะสามารถเข้าถึงและอัปเดตอุปกรณ์ได้ “รถยนต์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผลิตจากจีน และ TikTok ยังเป็นแค่ปัญหาในเบื้องต้น ทั้งที่ยังมีปัญหาอื่นลงลึกมากไปกว่านี้อีก
หากแฮร์ริสชนะการเลือกตั้ง แนวทางของเธอน่าจะตรงเป้าหมายและสอดประสานกันมากกว่าของทรัมป์ ตัวอย่างเช่น เธอน่าจะยังคงทำงานร่วมกับพันธมิตรเช่นที่รัฐบาลของไบเดนทำ เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ ไปช่วยเหลือกองทัพจีน
ในทางกลับกัน รัฐบาลของทรัมป์อาจดำเนินการได้รวดเร็วกว่าและตั้งใจที่จะลงโทษพันธมิตรที่ดื้อรั้นมากขึ้น อดีตหัวหน้าคณะผู้ทำงานประจำผู้แทนการค้าสหรัฐ ภายใต้การนำของทรัมป์ กล่าวว่า “ได้เรียนรู้จากวาระแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าเขาเอนเอียงไปทางการกระทำมากกว่า”
เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งรู้จักกับที่ปรึกษาคนปัจจุบันของเขา คาดว่ารัฐบาลทรัมป์จะ " จะใช้มาตรการแข็งกร้าวมากขึ้นกับนโยบายควบคุมการส่งออกไปยังจีน
เธอคาดหวังด้วยว่า "จะมีการขยายรายชื่อนิติบุคคลอย่างมีนัยสำคัญ" เพื่อจับบริษัทในเครือและหุ้นส่วนทางธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน ทรัมป์เพิ่มบริษัท Huawei Technologies ของจีนลงในรายชื่อบริษัทที่ฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตร พร้อมระบุว่าใบอนุญาตในการขนส่งเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ไปยังจีนก็มีแนวโน้มที่จะถูกปฏิเสธมากขึ้นเช่นกัน
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯกล่าวว่าเธอจะไม่แปลกใจหากรัฐบาลทรัมป์คุมเข้มไม่เพียงแค่การนำเข้าชิปของจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึง "ผลิตภัณฑ์บางอย่างที่มีชิปเหล่านั้น" ด้วย และคาดว่าทรัมป์จะเข้มงวดกว่าแฮร์ริส กับพันธมิตรที่ไม่เดินตามแนวทางของสหรัฐฯ
ด้านอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ในสมัยรัฐบาลของคลินตัน มองว่าทรัมป์มีแนวโน้มที่จะใช้ "ค้อนขนาดใหญ่" เพื่อควบคุมสินค้า ในขณะที่แฮร์ริสจะใช้ "มีดผ่าตัด" เขาระบุว่า "แนวทางของทรัมป์นั้นครอบคลุมทุกด้าน เห็นได้ชัดเจนที่สุดจากข้อเสนอภาษีศุลกากรปัจจุบันของเขา"
ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมด 10 หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ และ 60 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้นสำหรับสินค้าจีน ด้านแฮร์ริสก็ได้อธิบายแผนภาษีของทรัมป์ว่าเป็นการเก็บภาษีผู้บริโภคทางอ้อม ในขณะที่ รัฐบาลของไบเดน จะเก็บภาษีเน้นไปที่ตัวสินค้าเฉพาะรายการ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มอัตราภาษีสำหรับเซมิคอนดักเตอร์จาก 25 เปอร์เซ็นต์เป็น 50 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2025 ด้วย
จีนกล่าวหลายครั้งว่าจะปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตน โดยเมื่อปีที่แล้ว จีนพุ่งเป้าไปที่ Micron Technology ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำของสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐฯกำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกชิปและอุปกรณ์ผลิตชิปของสหรัฐฯ หลายครั้ง และสหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนลงโทษบริษัทอื่นๆ ของสหรัฐฯ ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้น
เมื่อปีที่แล้ว จีนยังได้คุมเข้มการส่งออกเจอร์เมเนียมและแกลเลียม ซึ่งเป็นโลหะที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตชิป โดยอ้างถึงผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติ จีนได้ออกมาตรการควบคุมใหม่กับผลิตภัณฑ์กราไฟต์บางชนิดที่ใช้ในแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2023 ซึ่เพียงไม่กี่วันหลังจากที่สหรัฐฯ เข้มงวดกฎเกณฑ์การส่งออกที่เกี่ยวข้องกับชิป และในเดือนมิถุนายน สหรัฐฯ ได้เปิดเผยกฎเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับธาตุหายากซึ่งมีความสำคัญต่ออุปกรณ์ทางทหารและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค
รัฐมนตรีพาณิชย์ในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐฯ จำเป็นต้องเข้มงวดกับจีน แต่ต้องคำนึงในเชิงยุทธศาสตร์ด้วย โดยระบุว่าสหรัฐฯ ยังคงต้องพึ่งพาจีนสำหรับธาตุหายาก "การพยายามตัดขาดจากจีนจะเป็นอันตรายมาก"
By IMCT NEWS