หากจีนก้าวขึ้นมาสำเร็จได้ ทำไมอินเดียจะทำไม่ได้?

หากจีนสามารถก้าวขึ้นมาสำเร็จได้ ทำไมอินเดียจะทำไม่ได้?: บทเรียนจากการปฏิวัติของเติ้ง เสี่ยวผิง สู่การเปลี่ยนแปลงอินเดีย
18-5-2025
หากจีนสามารถก้าวขึ้นมาได้ ทำไมอินเดียจะทำไม่ได้?: การตั้งคำถามที่ยากเพื่อค้นพบเส้นทางการพัฒนาที่แท้จริง ความก้าวหน้าที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากคำถามง่ายๆ หรือการเลือกอยู่ในพื้นที่สบาย แต่เกิดจากความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริงที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ประเทศต่างๆ เช่นเดียวกับบุคคล ไม่ได้ล้มเหลวเพราะสิ่งที่พวกเขาเผชิญ แต่เพราะสิ่งที่พวกเขาปฏิเสธที่จะเผชิญต่างหาก
ประเทศที่ยิ่งใหญ่ล้วนผ่านการตั้งคำถามที่ยากและลึกซึ้ง ตัวอย่างเช่น หากสหรัฐอเมริกาไม่ยอมตั้งคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันราวกับเป็นพลเมืองชั้นสอง สังคมอเมริกาอาจยังคงจมอยู่กับการเหยียดเชื้อชาติเชิงสถาบันที่รุนแรงกว่าปัจจุบัน เยอรมนีเลือกที่จะเผชิญหน้ากับอดีตอันมืดมนของตนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการยอมรับและจดจำโฮโลคอสต์ ไม่ใช่ปฏิเสธ จนปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในผู้นำทางศีลธรรมของยุโรป
ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดคือจีน เมื่อเติ้ง เสี่ยวผิง กล้าตั้งคำถามที่ยากต่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์แบบดั้งเดิมว่า "ลัทธิคอมมิวนิสต์ในรูปแบบนี้ตอบสนองความต้องการของประชาชนจริงหรือไม่" แทนที่จะละทิ้งลัทธิคอมมิวนิสต์ไปเลย เขากลับจินตนาการระบบใหม่โดยผสมผสานกับการปฏิรูปตลาดและวิสัยทัศน์ระดับโลก ส่งผลให้เกิดรัฐทุนนิยม-คอมมิวนิสต์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในโลก กุญแจสำคัญของความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่อุดมการณ์ แต่อยู่ที่การทบทวนตนเองอย่างจริงจัง
ก่อนยุคของเติ้ง จีนเป็นสังคมศักดินาที่เคร่งครัด ถูกครอบงำโดยชนชั้นนำเพียงไม่กี่คนและอุดมการณ์ที่แข็งกร้าว การปฏิวัติวัฒนธรรมภายใต้การนำของเหมา เจ๋อตง ยิ่งทำให้วิกฤตรุนแรงขึ้น ก่อให้เกิดการกดขี่และความวุ่นวายอย่างกว้างขวาง ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 จีนต้องเลือกระหว่างการยึดมั่นในหลักมาร์กซิสต์แบบดั้งเดิม หรือการสร้างสังคมและเศรษฐกิจรูปแบบใหม่
เติ้ง เสี่ยวผิง ตัดสินใจก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สองขั้นตอน เริ่มจากการปฏิวัติสังคมที่รื้อถอนโครงสร้างศักดินา ต่อด้วยการปรับปรุงเศรษฐกิจให้ทันสมัยตามแนวทางปฏิบัตินิยม เขาเริ่มต้นด้วยการฟื้นฟูเกียรติและศักดิ์ศรีให้กับผู้คนนับล้านที่ถูกกดขี่ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ส่งเสริมการปรองดองในชาติ และในปี 1978 ได้เปิดตัว "นโยบายเปิดประตู" เชิญชวนการลงทุนจากต่างประเทศและผสานจีนเข้ากับเศรษฐกิจโลก
การปฏิรูปครั้งสำคัญนี้กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนเพิ่มขึ้น 9.5% ต่อปีตั้งแต่ปี 1978 ถึง 2013 ช่วยให้ประชากร 800 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนภายในเวลาเพียง 4 ทศวรรษ ภายใต้ "สี่แนวทางแห่งความทันสมัย" เติ้งให้ความสำคัญกับการศึกษา เทคโนโลยี การป้องกันประเทศ และเกษตรกรรม สร้างแรงงานที่มีทักษะซึ่งขับเคลื่อนจีนสู่การเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับสองของโลก
จีนมุ่งเน้นนวัตกรรมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มากกว่าการยึดติดกับอุดมการณ์ ส่งผลให้อัตราการรู้หนังสือเพิ่มขึ้นจาก 20% ในปี 1949 เป็น 97% ในปี 2020 ปัจจุบันจีนผลิตวิศวกรได้ 1.4 ล้านคนต่อปี เป็นผู้นำในด้านผู้จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) และมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมากกว่า 100 ล้านแห่ง ซึ่งสร้าง GDP ถึง 60% และจ้างงานถึง 80% ของการจ้างงานทั้งหมด
ความสำเร็จของจีนมีรากฐานจากการลงทุนระยะยาวในทุนมนุษย์ ทำให้กลายเป็นผู้นำระดับโลกด้านปัญญาประดิษฐ์ คอมพิวเตอร์ควอนตัม และเทคโนโลยีอวกาศ การที่เติ้งเน้นแนวทางแก้ปัญหาในทางปฏิบัติมากกว่าการยึดติดกับอุดมการณ์ ทำให้จีนก้าวข้ามจากความยากจนสู่ความเจริญรุ่งเรือง จีนสามารถสร้างเศรษฐกิจขึ้นใหม่และสร้างชาติที่มีพลเมืองที่มีความสามารถ มีความคิดก้าวหน้า ซึ่งเสริมพลังให้กับประเทศได้ด้วยการทลายโครงสร้างเก่าและนำการปฏิรูปตลาดมาใช้
ปัจจุบันอินเดียยืนอยู่ที่ทางแยกสำคัญ คล้ายกับจีนในช่วงทศวรรษ 1970 แม้จะเป็นประเทศที่มีศักยภาพมหาศาล แต่อินเดียยังคงถูกขัดขวางไม่ใช่เพราะขาดพรสวรรค์หรือวิสัยทัศน์ แต่เพราะความลังเลที่จะตั้งคำถามกับความเชื่อที่หยั่งรากลึกเกี่ยวกับระบบวรรณะ ซึ่งเป็นระบบที่หล่อเลี้ยงความไม่เท่าเทียมและจำกัดโอกาสมาอย่างยาวนาน นับเป็นจุดอ่อนสำคัญของอินเดีย
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในเดือนเมษายน 2025 หลังจากการผลักดันอย่างต่อเนื่องจากฝ่ายค้านและภาคประชาสังคม รัฐบาลอินเดียตกลงที่จะดำเนินการสำรวจสำมะโนประชากรตามชั้นวรรณะทั่วประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจประชากรทุก 10 ปี ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรื้อถอนโครงสร้างสังคมแบบเก่าและเปิดทางสู่การกำหนดนโยบายที่ครอบคลุมและอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลจริง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาได้เรียกร้องให้มีการสำรวจสำมะโนประชากรตามชั้นวรรณะมาเป็นเวลานาน โดยเห็นว่าจุดแข็งของอินเดียถูกบดบังด้วยข้อบกพร่องที่ฝังรากลึกของระบบวรรณะ การสำรวจนี้เป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขความอยุติธรรมทางประวัติศาสตร์และส่งเสริมการพัฒนาที่เท่าเทียมกัน แต่ความท้าทายที่แท้จริงคือการแปลงข้อมูลให้เป็นนโยบายที่ขับเคลื่อนความยุติธรรมทางสังคมและการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
การสำรวจสำมะโนประชากรตามชั้นวรรณะ ตามด้วยการปฏิรูปที่ดินและการปฏิรูปภาคอุตสาหกรรม จะวางอินเดียบนเส้นทางการพัฒนาที่ถูกต้อง คล้ายคลึงกับแนวทางของจีน อินเดียจำเป็นต้องเรียนรู้จากจีนในการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์และสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันสำหรับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงชั้นวรรณะ
หากอินเดียต้องการก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจ จำเป็นต้องรื้อถอนความเชื่อดั้งเดิมภายในประเทศก่อน และกล้าตั้งคำถามที่ท้าทายเพื่อปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริง ในวันที่อินเดียเลือกความสามารถมากกว่าความเฉื่อยชา ความเท่าเทียมมากกว่าสิทธิพิเศษของชนชั้น และประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าแนวคิดคับแคบ การเติบโตของอินเดียจะไม่ใช่เพียงความเป็นไปได้ แต่จะกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในที่สุด
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/05/if-china-can-rise-why-cant-india/
Image: Chappatte / Der Spiegel