.

หนี้สาธารณะสหรัฐฯ ทะลุ $37 ล้านล้าน งบขาดดุล ก.ค. เพิ่มขึ้น 19% แม้รายได้ภาษีศุลกากรพุ่งสูงสามเท่า
18-8-2025
แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รับรายได้จากภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ก็ยังไม่สามารถยับยั้งการใช้จ่ายที่ไร้การควบคุมได้ โดยรายงานสถานะการคลังประจำเดือน (Monthly Treasury Statement) ระบุว่า เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ มีงบประมาณขาดดุลสูงถึง 294,140 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 19% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่หนี้สาธารณะของประเทศได้ทำสถิติใหม่ด้วยการพุ่งทะลุ 37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา
ข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ชี้ว่า งบประมาณขาดดุลสะสมสำหรับปีงบประมาณ 2025 (Fiscal Year 2025) อยู่ที่ 1.63 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยที่ยังเหลือเวลาอีก 2 เดือนก่อนจะสิ้นสุดปีงบประมาณ แม้รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในเดือนกรกฎาคม ส่วนหนึ่งมาจากการเก็บภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการจัดเก็บรายได้จากภาษีศุลกากร 22,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับ 7,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมปี 2024
ตลอดช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีศุลกากรได้รวม 135,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 73,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 116% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ 2024 โดยรายได้รวมของรัฐบาลอยู่ที่ 4.35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 6.6% อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของรายได้นี้ยังไม่สามารถไล่ตามการใช้จ่ายของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ใช้จ่ายเงินไปถึง 629,640 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 10% จากปีที่แล้ว ทำให้ยอดใช้จ่ายสะสมตลอดปีงบประมาณ 2025 อยู่ที่ 5.98 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
‘บิ๊ก บิวตี้ฟูล บิล (Big Beautiful Bill)’ กับปัญหาการใช้จ่ายที่ยังคงเพิ่มขึ้น
แม้จะมีเสียงสนับสนุนว่า “บิ๊ก บิวตี้ฟูล บิล (Big Beautiful Bill)” ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เคยถูกกล่าวอ้างว่ามีการ "ลด" การใช้จ่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วกฎหมายฉบับนี้เป็นการตัดลดจากการประมาณการการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ทำให้ยอดใช้จ่ายที่แท้จริงยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ไม่ได้เพิ่มขึ้นเร็วเท่าที่เคยวางแผนไว้
ในทำนองเดียวกัน ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden) ก็เคยให้คำมั่นว่าการตัดลดการใช้จ่ายภายใต้ข้อตกลงขยายเพดานหนี้ หรือที่เรียกกันว่า “กฎหมายความรับผิดชอบทางการคลัง (Fiscal Responsibility Act)” จะช่วยประหยัดงบประมาณได้หลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่สิ่งนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ผู้สนับสนุน “บิ๊ก บิวตี้ฟูล บิล (Big Beautiful Bill)” คาดหวังว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลดภาษีจะช่วยเพิ่มรายได้และลดการขาดดุลได้ แต่ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่าข้ออ้างดังกล่าวไม่น่าเป็นจริงได้เลย
ความจริงอันน่ากังวลคือ รัฐบาลไม่มีความมุ่งมั่นที่จะตัดลดการใช้จ่ายอย่างจริงจัง และมักจะหาเหตุผลใหม่ๆ ในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ภายในประเทศหรือสงครามในต่างประเทศ
ภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง
รัฐบาลกลางสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภาระดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ประธานาธิบดีทรัมป์ (Trump) และเจ้าหน้าที่บริหารท่านอื่นๆ กำลังกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างหนัก
ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้สาธารณะสูงถึง 91,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ยอดรวมค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยตลอดปีงบประมาณจนถึงปัจจุบันทะลุ 1.01 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปี 2024 โดยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสุทธิ (หักรายรับดอกเบี้ย) อยู่ที่ 841,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอด 10 เดือนแรกของปีงบประมาณนี้
น่าตกใจที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยหนี้สาธารณะ ณ ปัจจุบัน สูงกว่างบประมาณด้านกลาโหม (758,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และเมดิแคร์ (823,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยมีเพียงงบประมาณด้านประกันสังคม (Social Security) เท่านั้นที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า (1.31 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
ข้อมูลระบุว่า หนี้ส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ถูกกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มวงจรการขึ้นดอกเบี้ย แต่เมื่อหนี้เหล่านั้นครบกำหนด รัฐบาลจะต้องออกพันธบัตรใหม่ในอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อมาทดแทน ซึ่งยิ่งทำให้ภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น แม้ว่าเฟด (Fed) จะได้ลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว แต่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยังคงเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการซื้อหนี้ของสหรัฐฯ ที่ลดลง
ผลกระทบที่ต้องเผชิญ
บางคนอาจอ้างว่าการกู้ยืม, การใช้จ่าย และหนี้สาธารณะก้อนโตนั้นไม่สำคัญ แต่ความเป็นจริงแล้วมันส่งผลกระทบอย่างยิ่ง ข้อมูลจากนาฬิกาหนี้สาธารณะ (national debt clock) ระบุว่า ระดับหนี้ในปัจจุบันคิดเป็น 123.3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งผลการศึกษาพบว่าอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ที่เกิน 90% จะฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ถึงประมาณ 30%
จากข้อมูลของศูนย์นโยบายแบบสองพรรค (Bipartisan Policy Center) หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นและความไร้ความรับผิดชอบทางการคลังที่เพิ่มขึ้น กำลังบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และอาจนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง, อัตราการว่างงานที่สูงขึ้น และความมั่งคั่งจากการลงทุนที่ลดลง
นอกจากนี้ การขาดความเชื่อมั่นในสถานการณ์การคลังของสหรัฐฯ อาจทำให้ความต้องการซื้อหนี้ของสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งจะบีบให้รัฐบาลต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในพันธบัตรรัฐบาล (Treasuries) ให้สูงขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุน ยิ่งทำให้ปัญหาการชำระดอกเบี้ยเลวร้ายลงไปอีก
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทุกประธานาธิบดีนับตั้งแต่แคลวิน คูลิดจ์ (Calvin Coolidge) ได้ทิ้งหนี้สาธารณะไว้มากกว่าตอนที่พวกเขารับตำแหน่ง แสดงให้เห็นว่าการจัดการหนี้เป็นปัญหาเรื้อรัง และการแก้ไขต้องใช้มาตรการที่เจ็บปวดซึ่งไม่มีนักการเมืองคนใดต้องการทำ เพราะการสร้างความเจ็บปวดคือเส้นทางที่เร็วที่สุดในการลงจากตำแหน่ง ทำให้พวกเขาเลือกที่จะผลักภาระหนี้ออกไปในอนาคตและใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อเอาใจประชาชน
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.linkedin.com/pulse/feds-runs-another-massive-budget-deficit-july-despite-surge-oujhe/