.

การขยายสมาชิกอาเซียน 'โอกาสเชิงยุทธศาสตร์' ที่อาจบั่นทอนเอกภาพในยุคแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์
18-10-2025
The Diplomat รายงานว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ $47$ ที่กำลังจะจัดขึ้นนี้ มีวาระสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางในอนาคตของกลุ่ม นั่นคือ ข้อเสนอของอินโดนีเซียในการขยายสมาชิกภาพของอาเซียนให้ครอบคลุม ติมอร์-เลสเต (Timor-Leste) และ ปาปัวนิวกินี (Papua New Guinea)
## **อาเซียนขยายสมาชิก: โอกาสเชิงยุทธศาสตร์ หรือการเสี่ยงสูญเอกภาพ**
การขยายสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) เพื่อรับ **ติมอร์‑เลสเต** และอาจรวมถึง **ปาปัวนิวกินี** ในระยะต่อมา อาจไม่เพียงเพิ่มขนาดของกลุ่ม แต่ยังท้าทายความเป็นเอกภาพและความมีประสิทธิภาพขององค์กรอย่างลึกซึ้ง
การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ปลายเดือนตุลาคมนี้ มีวาระสำคัญคือข้อเสนอของอินโดนีเซีย ซึ่งผลักดันให้ขยายสมาชิกภาพเพื่อรวมติมอร์‑เลสเตและปาปัวนิวกินีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาค ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกมองว่าเป็นความพยายามของจาการ์ตาในการยืนยันบทบาทผู้นำอาเซียน และกระตุ้นให้องค์กรมีความเหนียวแน่นและมีน้ำหนักทางยุทธศาสตร์มากขึ้นในบริบทอินโด‑แปซิฟิกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
### สมาชิกใหม่อาจเป็นจุดเปลี่ยน หรือจุดเปราะบางของอาเซียน
แม้การรับติมอร์‑เลสเตเป็นสมาชิกใหม่ลำดับ 11 ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในที่ประชุมปลายเดือนนี้ จะถูกนำเสนอว่าเป็นก้าวแห่ง “การรวมตัวทางภูมิภาคที่ครอบคลุม” แต่ก็มีเสียงคัดค้านในหมู่ประเทศสมาชิกว่า การขยายครั้งนี้อาจยิ่งทำให้อาเซียนแตกแยกมากขึ้นในช่วงเวลาที่องค์กรยังไม่สามารถจัดการความขัดแย้งภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา อาเซียนเคยผ่านการขยายสมาชิกจากยุค 6 ประเทศกลายเป็น 10 ประเทศ โดยการรับเวียดนาม ลาว เมียนมา และกัมพูชาเข้าร่วมในทศวรรษ 1990 ซึ่งช่วยขยายตลาด 680 ล้านคน และยกระดับอาเซียนให้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก แต่วันนี้ โครงสร้างขนาดมหึมานั้นกลับนำมาซึ่งโจทย์ใหม่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความแตกต่างทางการเมือง และการขาดเอกภาพในเชิงยุทธศาสตร์
การเพิ่มสมาชิกใหม่ในเวลานี้ โดยเฉพาะประเทศที่มีความเปราะบางทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น ติมอร์‑เลสเต และปาปัวนิวกินี จึงอาจทำให้อาเซียนตกหลุม “ขยายโดยไม่เสริมสร้างความร่วมมือภายใน” ซึ่งจะยิ่งทำให้การตัดสินใจโดยฉันทามติ (Consensus Decision‑Making) ซึ่งเป็นหัวใจของอาเซียน กลายเป็นกลไกที่ช้ากว่าเดิมและไร้พลังยิ่งขึ้น
## ฉันทามติ: จุดแข็งที่กลายเป็นข้อจำกัด
ระบบการตัดสินใจของอาเซียนยึดฉันทามติเป็นหลัก แต่ประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า “ความเห็นพ้องแต่ทำไม่ได้” ได้กลายเป็นปัญหาหลักขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นการจัดการวิกฤตเมียนมา ปัญหาทะเลจีนใต้ หรือการกำหนดท่าทีร่วมต่อการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ
ประเทศสมาชิกมีระดับการพัฒนาและแนวทางการเมืองที่แตกต่างกันมาก เมื่อเพิ่มติมอร์‑เลสเตและปาปัวนิวกินี ซึ่งยังขาดทั้งขีดความสามารถของรัฐ โครงสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคง และแรงสนับสนุนจากสาธารณชน เข้ามา จะยิ่งทำให้การบรรลุฉันทามติที่แท้จริงยากขึ้นกว่าเดิม
ติมอร์‑เลสเต แม้มีชัยภูมิที่ติดกับอินโดนีเซีย แต่ยังเผชิญความเปราะบางทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ งบประมาณของรัฐพึ่งพารายได้จากน้ำมันและก๊าซมากถึง 88 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ประชากรกว่า 42 เปอร์เซ็นต์ ยังอยู่ใต้เส้นความยากจน และสัดส่วนแรงงานภาครัฐสูงถึง 88 เปอร์เซ็นต์ ของการจ้างงานทั้งหมด ตามรายงานของธนาคารโลก ปี 2025 ยืนยันว่า “ติมอร์‑เลสเตยังไม่สามารถสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้โดยปราศจากการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง”
ในเวลาเดียวกัน ปาปัวนิวกินีกลับเผชิญปัญหาซับซ้อนยิ่งกว่า ทั้งจากความแตกแยกทางภูมิภาค ความเปราะบางทางการเมือง และความไม่มั่นคงทางสังคม กว่า 86 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทที่เข้าถึงบริการพื้นฐานอย่างไฟฟ้าและถนนได้จำกัด รัฐบาลยังต้องรับมือกับเหตุจลาจลในกรุงพอร์ตมอร์สบีเมื่อปี 2024 ซึ่งนำไปสู่การประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศ
## ช่องว่างเศรษฐกิจ: อุปสรรคต่อการรวมเป็นหนึ่ง
เป้าหมายของ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)คือการสร้าง “ตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน” แต่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างสมาชิกยังคงรุนแรง แม้จะเปิดตัว AEC ตั้งแต่ปี 2015 การรวมทางเศรษฐกิจกลับคืบหน้าอย่างจำกัด
การรับสมาชิกใหม่สองประเทศที่ยังจัดอยู่ในกลุ่มเศรษฐกิจเปราะบางที่สุดในเอเชีย‑แปซิฟิก ซึ่งมีดัชนีทุนมนุษย์ต่ำ (ติมอร์‑เลสเต 0.45 และปาปัวนิวกินี 0.43 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน 0.59) จะยิ่งขยายช่องว่างดังกล่าว ติมอร์‑เลสเตพึ่งพาทรัพยากรน้ำมันเป็นหลัก และหากกองทุนปิโตรเลียมหมดลงในช่วงกลางทศวรรษ 2030 เศรษฐกิจประเทศจะเผชิญ “หน้าผาทางการคลัง” ในทันที ส่วนปาปัวนิวกินีซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ กลับไม่สามารถใช้รายได้จากการส่งออกสร้างโครงสร้างพื้นฐานหรือบริการสาธารณะ โดยมีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่เข้าถึงไฟฟ้า
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองประเทศยังมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับอาเซียนจำกัด ปาปัวนิวกินียังคงพึ่งพาตลาดออสเตรเลีย จีน และญี่ปุ่น ขณะที่ติมอร์‑เลสเตมีมูลค่าการค้ารวมเพียง 1.1 พันล้านดอลลาร์ โดยนำเข้ามากกว่าส่งออกเกือบ 3 เท่า การเข้าร่วมของทั้งสองประเทศจึงมีแนวโน้มเพิ่มภาระมากกว่าจะเสริมการรวมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
## โจทย์ใหญ่: ตัวตนและบทบาทของอาเซียน
ปัญหาเชิงโครงสร้างลึกที่สุดคือ “ตัวตนของอาเซียนคืออะไร” กลุ่มนี้ควรเป็นเพียงสหภาพเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือจะพัฒนาสู่การเป็นประชาคมยุทธศาสตร์กึ่งภูมิภาคในอินโด‑แปซิฟิก หากธุระหลักคือการรักษาเอกภาพและอำนาจต่อรองของภูมิภาค การรับสมาชิกที่มีแนวโน้มแตกต่างทั้งเชิงเศรษฐกิจและการเมือง ย่อมทำให้กลุ่มขาดทิศทางมากขึ้น
ในทางภูมิศาสตร์ ติมอร์‑เลสเต และ ปาปัวนิวกินี มีพรมแดนกับอินโดนีเซีย แต่หากใช้หลัก “ใกล้ชิดทางภูมิประเทศ” เพียงอย่างเดียว ประเทศอื่นอย่าง หมู่เกาะโซโลมอน บังกลาเทศ หรือแม้แต่ออสเตรเลีย ก็อาจอ้างสิทธิเข้าร่วมได้เช่นกัน นั่นจะเป็นการบิดเบือนหลักการ “ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของ ASEAN Charter
นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์ของประเทศคู่สมัครยังไม่สอดคล้องกับพันธกิจของกลุ่ม ปาปัวนิวกินีชัดเจนว่ายังคงเอนเอียงสู่ภูมิภาคเมลาเนเซียและแปซิฟิก เป็นสมาชิกของ Pacific Islands Forum และมีความร่วมมือด้านการทหารกับออสเตรเลียมากกว่าอาเซียน ส่วนติมอร์‑เลสเต แม้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอินโดนีเซีย แต่ยังพึ่งพาสนับสนุนจากจีนอย่างเข้มข้น ตั้งแต่เงินทุนก่อสร้างอาคารรัฐสภา กระทรวงการต่างประเทศ จนถึงสำนักงานใหญ่กองทัพ รวมถึงการลงนาม “ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน” เมื่อกลางปี 2024 ยิ่งทำให้เกิดข้อกังขาว่า สมาชิกใหม่เหล่านี้จะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองทางยุทธศาสตร์ของอาเซียน หรือทำให้จีนมีอิทธิพลมากขึ้นในกลุ่ม
## ทางสองแพร่งของอาเซียน
วันนี้ อาเซียนอยู่ในจุดที่ต้องเลือก ระหว่าง “ขยายเพื่อครอบคลุม” หรือ “หยุดเพื่อสร้างเอกภาพ” การขยายสมาชิกอาจให้ภาพลักษณ์ของกลุ่มที่เปิดกว้างและมีน้ำหนักทางภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้น แต่หากไม่มีการปฏิรูปภายในเพื่อยกระดับสมรรถนะของสมาชิกเดิม อาเซียนก็เสี่ยงที่จะกลายเป็นเวทีที่เติบโตทางปริมาณแต่ถดถอยทางคุณภาพ
การขยายควรตั้งอยู่บนเกณฑ์ที่ชัดเจน มีการประเมินความพร้อมด้านเศรษฐกิจ สถาบัน และยุทธศาสตร์ เพื่อให้มั่นใจว่าสมาชิกใหม่จะเสริม ไม่ใช่ลด ประสิทธิภาพขององค์กร ในที่สุด ความท้าทายสำคัญของอาเซียนไม่ใช่การหาว่าใครจะเข้ามา แต่คือ “จะรวมตัวกันเพื่อรักษาความเป็นหนึ่งเดียวท่ามกลางการแข่งขันมหาอำนาจได้อย่างไร”
บทสรุป:
หากการรับ ติมอร์‑เลสเต และ ปาปัวนิวกินี ไม่ได้มาพร้อมการปฏิรูปภายในและเกณฑ์สมาชิกภาพที่ชัดเจน อาเซียนอาจขยายขนาดแต่สูญความเป็นเอกภาพ การขยายตัวที่ไม่มีกลยุทธ์จะสร้างความเปราะบางในระยะยาว และทำให้คำขวัญ “วิสัยทัศน์เดียว อัตลักษณ์เดียว ประชาคมเดียว” กลายเป็นเพียงคำขวัญที่ห่างไกลจากความจริงของอาเซียนในศตวรรษที่ 21
---
IMCT NEWS
ที่มา https://thediplomat.com/2025/10/asean-expansion-strategic-opportunity-or-strategic-drift/