ขอบคุณภาพจาก The Express Tribune
19/10/2024
สุพราหมัณยัม ชัยศังกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ระบุระหว่างกล่าวปราศรัยต่อการประชุมสภาผู้นำรัฐบาลขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือ SCO ครั้งที่ 23 ที่กรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของปากีสถาน โดยกล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก SCO จะต้องยึดตามความเคารพซึ่งกันและกันและความเท่าเทียมกันในอำนาจอธิปไตย และองค์การควรยอมรับบูรณภาพแห่งดินแดนและอำนาจอธิปไตย ซึ่งก็เป็นที่คาดการณ์ว่า ชัยศังกรอาจมีนัยถึงกรณีพิพาทในพื้นที่แคชเมียร์
“ความร่วมมือจะต้องสร้างขึ้นบนความร่วมมือที่แท้จริง ไม่ใช่แผนงานฝ่ายเดียว” รัฐมนตรีต่างประเทศของอินเดียกล่าวว่า “หากเราเลือกเฉพาะแนวทางปฏิบัติระดับโลก โดยเฉพาะด้านการค้าและการขนส่ง จะไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปได้”
สำหรับการประชุมสุดยอดครั้งนี้ มีผู้นำจากประเทศสมาชิก SCO ประเทศอื่นๆ เข้าร่วมด้วย ได้แก่ รัสเซีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน อิหร่าน และเบลารุส
ส่วนคำกล่าวของชัยศังกรเกี่ยวกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน หรือ CPEC เกิดขึ้นหลังจากที่นายกรัฐมนตรีเชห์บาซ ชารีฟ ผู้นำปากีสถานเสนอแนะว่า ควรขยายโครงการที่มีความทะเยอทะยานนี้ออกไปและเป็นส่วนหนึ่งของ “กรอบการเชื่อมโยง SCO ที่แข็งแกร่ง” แต่นิวเดลีคัดค้านโครงการ CPEC โดยให้เหตุผลว่าโครงการนี้ผ่านแคชเมียร์ซึ่งปากีสถานยึดครองอยู่ แต่เป็นดินแดนที่อินเดียระบุว่าเป็นของอินเดีย
ชัยศังกรเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนแรกของอินเดียที่เยือนปากีสถานในรอบ 9 ปี หลังเมื่อเดือนธันวาคมปี 2015 สุษมา สวราช เยือนปากีสถานเพื่อเข้าร่วมการประชุม “หัวใจแห่งเอเชีย” แต่ชัยศังกรชี้แจงอย่างชัดเจนว่า เขาจะไม่อยู่ในกรุงอิสลามาบัดเพื่อหารือทวิภาคีกับผู้นำปากีสถาน พร้อมย้ำอย่างหนักแน่นว่า อินเดียจะไม่กลับมาเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ จนกว่าปากีสถานจะหยุดสนับสนุนการก่อการร้าย
นอกจากนี้ ชัยศังกรก็ยังกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ความพยายามของประเทศสมาชิก SCO จะก้าวหน้าได้ ก็ต่อเมื่อประเทศสมาชิกยังคงยึดมั่นในกฎบัตรขององค์กร
“เป็นที่ทราบกันดีว่าการพัฒนาและการเติบโตต้องอาศัยสันติภาพและเสถียรภาพ และดังที่กฎบัตรได้ระบุไว้ นั่นหมายถึงการต้องมั่นคงและไม่ยอมประนีประนอมในการต่อต้าน ‘สามความชั่วร้าย’ หากกิจกรรมข้ามพรมแดนมีลักษณะของการก่อการร้าย การสุดโต่ง และการแบ่งแยกดินแดน ก็ไม่น่าจะส่งเสริมการค้า การไหลเวียนของพลังงาน ความเชื่อมโยง และการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนควบคู่กันไปได้” ชัยศังกรกล่าว
นอกจากนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดียก็ยังชี้ให้เห็นว่า การประชุม SCO กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากในกิจการโลก เนื่องจากความขัดแย้งสำคัญ 2 ครั้งกำลังเกิดขึ้นในเอเชียตะวันตกและยุโรป ซึ่งแต่ละอย่างก็ส่งผลกระทบในระดับโลกในแบบของตัวเอง
“การระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายประเทศในโลกกำลังพัฒนาได้รับผลกระทบอย่างหนัก การหยุดชะงักในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแบบสุดขั้ว ความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทาน และความผันผวนทางการเงิน ส่งผลกระทบต่อการเติบโตและการพัฒนา”
ขณะเดียวกัน สถาบันระดับโลกต่างๆ ก็จำเป็นต้องก้าวให้ทันกับความเป็นจริงของโลก ตามมุมมองของชัยศังกร “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมกรณีของ ‘การปฏิรูปพหุภาคี’ จึงยิ่งแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน การปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างครอบคลุม ทั้งในหมวดหมู่ถาวรและไม่ถาวร จึงมีความจำเป็น” ซึ่ง SCO ต้องเป็นผู้นำในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ไม่ใช่ยับยั้งเรื่องที่สำคัญเช่นนี้
อีกด้านหนึ่ง SCO ก็ต้องตระหนักว่า โลกกำลังเคลื่อนตัวไปสู่ภาวะหลายขั้ว โลกาภิวัตน์และการปรับสมดุลใหม่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ โดยรวมแล้ว พวกเขาได้สร้างโอกาสใหม่ๆ มากมายในแง่ของการค้า การลงทุน การเชื่อมต่อ การไหลของพลังงาน และรูปแบบอื่นๆ ของความร่วมมือ
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภูมิภาคของเราจะได้รับประโยชน์มหาศาลหากเราดำเนินการนี้ต่อไป และไม่เพียงเท่านั้น ภูมิภาคอื่นๆ ก็จะได้รับแรงบันดาลใจและบทเรียนจากความพยายามดังกล่าวเช่นกัน” ชัยศังกรย้ำ
IMCT News