เวียดนามวิกฤติ 'ภาษีทรานชิป 40% FDI ระส่ำ!

เวียดนามวิกฤติ 'ภาษีทรานชิป 40% FDI ระส่ำ! กดดันบริษัทต่างชาติปิดโรงงาน-ย้ายฐานการผลิตออก
13-8-2025
Asia Time รายงานว่า วิกฤตภาษีสหรัฐฯ เขย่าฐานการผลิตเวียดนาม บริษัทลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในเวียดนามกำลังเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนอย่างรุนแรง หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศบังคับใช้นโยบายอัตราภาษีใหม่สำหรับสินค้าเวียดนามเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2025 ซึ่งสร้างความกังวลอย่างหนักต่อมาตรการลงโทษสำหรับการขนส่งสินค้าเพื่อเลี่ยงภาษี (transshipment)
นับตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าในอัตรา 20% ขณะที่สินค้าที่ถูกจัดว่าเป็นการขนส่งเพื่อเลี่ยงภาษี (transshipped) จะต้องเสียภาษีสูงถึง 40% อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนจากสหรัฐฯ ว่าสินค้าใดจะถูกพิจารณาว่าเป็น "transshipment"
ตารางอัตราภาษีศุลกากรแบบ Harmonized Tariff Schedule (HTSUS) ของสหรัฐฯ ระบุว่า หากกรมศุลกากรสหรัฐฯ (US Customs) ตัดสินว่าสินค้าใดมีสัญญาณของการถูกขนส่งเพื่อเลี่ยงภาษี จะต้องเผชิญกับภาษีเพิ่มเติม 40% แม้ว่าจะมีช่วงผ่อนผันสำหรับสินค้าที่ผ่านพิธีการศุลกากรได้ก่อนวันที่ 5 ตุลาคม 2025 แต่การขาดความชัดเจนของหลักเกณฑ์การบังคับใช้กำลังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการตัดสินใจในระยะยาวของนักลงทุน
เมื่อเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและรายได้ที่ลดลง บริษัท FDI บางแห่งได้เริ่มลดขนาดการผลิตหรือทยอยย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากเวียดนามแล้ว สถานการณ์เหล่านี้กำลังตอกย้ำให้เห็นถึงจุดอ่อนเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจเวียดนาม นั่นคือความเปราะบางต่อความผันผวนของนโยบายการค้าระดับโลก เนื่องจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกของเวียดนามนั้นพึ่งพาบริษัท FDI มากกว่า 70% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น ภาคการผลิตยังต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจากจีนสูงถึง 80%
ในทางกลับกัน สัดส่วนของสินค้าที่ตรงตามมาตรฐานการผลิตภายในประเทศ (localization) ซึ่งผลิตโดยธุรกิจที่คนเวียดนามเป็นเจ้าของและใช้เทคโนโลยีในประเทศนั้นยังคงต่ำมากเพียง 5-10% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ดังนั้น หากมีการตีความคำว่า "transshipped" อย่างเข้มงวดว่าหมายถึงสินค้าใด ๆ ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการผลิตทั้งหมดในเวียดนาม สินค้าเกือบทั้งหมดที่ส่งออกไปจากเวียดนามอาจถูกจัดประเภทเป็นการขนส่งเพื่อเลี่ยงภาษี (transshipment) และต้องเผชิญกับภาษี 40% ที่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง
ในขณะที่เวียดนามกำลังมุ่งมั่นที่จะยกระดับสถานะของตนในห่วงโซ่คุณค่าโลก ความคลุมเครือนี้จึงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการดึงดูดการลงทุน FDI ที่มีคุณภาพสูง
ขณะนี้สถานการณ์ยังคงผันผวน โดยเวียดนามอาจเดินหน้าเจรจาต่อเพื่อให้อัตราภาษีลดลง ซึ่งคาดว่าเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โต ลัม (To Lam) จะเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็อาจเปิดการเจรจากับประเทศอื่น ๆ อีกครั้ง โดยสำนักข่าว NBC News อ้างคำพูดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ว่า "สหรัฐฯ พร้อมที่จะเปิดประตูรับข้อเสนอที่น่าสนใจ"
นโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้บริษัท FDI ในเวียดนามต้องปรับโครงสร้างต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ จากผลสำรวจของ PwC ในเดือนมิถุนายน 2025 พบว่า 86% ของธุรกิจในเวียดนามแสดงความกังวลต่อผลกระทบของภาษี และที่น่าตกใจคือ 44% ของบริษัท FDI ได้เริ่มย้ายโรงงานหรือกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นแล้ว
แคร์กิลล์ (Cargill) ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ทำธุรกิจในเวียดนามมานานกว่า 25 ปี ได้ปิดโรงงานหลายแห่งและถอนตัวออกจากภาคธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในทำนองเดียวกัน อินเทล (Intel) ได้เลื่อนแผนการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขยายการผลิตชิป และเริ่มปลดพนักงานทั่วโลกรวมถึงพนักงานในเวียดนามด้วย ซึ่งก่อให้เกิด "ผลกระทบแบบลูกโซ่" (domino effect) โดยบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่รายอื่น ๆ เช่น ซัมซุง (Samsung) และ แอลจี (LG) ก็เริ่มลดจำนวนพนักงานและลดการผลิตลงในเวียดนาม
ในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ ภาษีนำเข้าย่อมนำไปสู่ "เงินเฟ้อจากต้นทุน" (cost-push inflation) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากธุรกิจจะผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปสู่ราคาสินค้าขั้นสุดท้าย ตามที่ ดร. ฟุ่ง ซาง (Phung Giang) ให้สัมภาษณ์กับ BBC Vietnamese สิ่งนี้อาจทำให้สินค้าเวียดนามมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ลดลงอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมดของเวียดนาม
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งคิดเป็น 35-40% ของมูลค่าการส่งออกดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงปัญหานี้อย่างชัดเจน ตามคำกล่าวของ หว่าง มาญ กำ (Hoang Manh Cam) รองหัวหน้าสำนักงานของ Vietnam National Textile and Garment Group (Vinatex) การเพิ่มขึ้นของราคาเพียง 1% อาจทำให้ความต้องการสินค้าลดลง 1-2%
ปัญหานี้ยังถูกซ้ำเติมด้วยต้นทุนอื่น ๆ อีก โดย เลอ ฮาง (Le Hang) รองเลขาธิการสมาคมผู้ส่งออกและผู้ผลิตอาหารทะเลเวียดนาม (VASEP) ระบุว่า ผู้ส่งออกต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหลายอย่างที่อาจรวมกันสูงถึง 75% ของมูลค่าการขนส่ง นอกจากนี้ ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ยังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยราคาค่าขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ไปยังสหรัฐฯ เกือบเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จาก 1,850 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นระหว่าง 2,950-3,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะที่ธุรกิจที่เน้นการส่งออกต้องแบกรับต้นทุนจากภายนอกที่เพิ่มขึ้น ภาวะเงินเฟ้อจึงแพร่กระจายไปทั่วเศรษฐกิจภายในประเทศเวียดนาม ในช่วงครึ่งปีแรก ธนาคารกลางเวียดนาม (State Bank of Vietnam - SBV) ได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติม 2.5 ล้านล้านดอง (ประมาณ 9.53 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ส่งผลให้สกุลเงินดองอ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่เงินเฟ้อสำหรับผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 3.57%
แม้ผู้อำนวยการนโยบายการเงินของ SBV, ฟาม จี กว๋าง (Pham Chi Quang) จะระบุว่านี่เป็นนโยบายที่ตั้งใจเพื่อสนับสนุนธุรกิจ แต่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ กลับไม่เห็นด้วย ดร. เลอ ถิ ถู จาง (Le Thi Thu Trang) จาก Friedrich Naumann Foundation ให้เหตุผลว่า นโยบายนี้กำลังสร้างแรงกดดันด้านต้นทุนสองทางแก่ผู้ส่งออก ทั้งราคาวัตถุดิบนำเข้าที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น
ดร. เลอ ไห่ ฮา (Le Hai Ha) จาก University of Commerce เห็นพ้องว่า ปัญหาหลักยังคงอยู่ที่อุตสาหกรรมภายในประเทศของเวียดนามที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่และอัตราการผลิตภายในประเทศ (localization) ที่ต่ำ ซึ่งทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าราคาแพง
การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน
นอกจากต้นทุนที่สูงขึ้นแล้ว บริษัท FDI ยังเผชิญกับรายได้ที่ลดลงจากการที่คำสั่งซื้อระหว่างประเทศลดลงอย่างรวดเร็ว ตามข้อมูลของ International Trade Centre (ITC) ความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นได้กระตุ้นให้เกิดการยกเลิกคำสั่งซื้อจำนวนมากตลอดห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ซึ่งเป็นแนวโน้มที่กระทบเวียดนามทันทีหลังการประกาศนโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ
ในช่วงครึ่งแรกของเดือนเมษายน กรมศุลกากรนครโฮจิมินห์รายงานว่า คำสั่งซื้อส่งออกไปยังสหรัฐฯ จำนวน 50% ถูกยกเลิกอย่างกะทันหัน ในจังหวัดบิ่ญเซือง (Binh Duong) ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของนครโฮจิมินห์ มีการยกเลิกใบสำแดงการส่งออกมูลค่ากว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในเวลาเพียง 4 วัน
คลื่นการยกเลิกคำสั่งซื้อนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers’ Index - PMI) ของเวียดนามล่าสุดลดลงมาอยู่ที่ 48.9% นับเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามแล้ว
S&P Global ระบุว่า ผู้ส่งออกที่ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า นโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ เป็นสาเหตุหลักของการลดลงอย่างรุนแรงของคำสั่งซื้อใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนสำคัญ เช่น สิ่งทอ รองเท้า และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษ
ซัพพลายเออร์ในประเทศก็กำลังเผชิญกับความยากลำบากเช่นกัน "ทันทีที่สหรัฐฯ ประกาศภาษีต่อเวียดนาม ลูกค้ารายหนึ่งของเราก็ระงับคำสั่งซื้อมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ" เหงียน วัน คา (Nguyen Van Ca) จาก Phuc Can Industrial Co, Ltd. กล่าว
ผู้นำในอุตสาหกรรมสิ่งทอและอุตสาหกรรมแปรรูปไม้รายงานถึงความท้าทายที่คล้ายคลึงกัน โดยสัญญาจ้างที่มั่นคงระยะเวลาหนึ่งปีถูกแทนที่ด้วยข้อตกลงระยะสั้นที่ไม่แน่นอน โดยปกติแล้วมีระยะเวลาเพียงสามเดือนเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว ความวุ่นวายนี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดแรงงานของเวียดนาม รายงานล่าสุดจากหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม (Vietnam Chamber of Commerce and Industry - VCCI) พบว่า มีแรงงานมากกว่า 637,000 คนได้รับผลกระทบจากการลดคำสั่งซื้อ และกว่า 53,000 คนต้องตกงานไปแล้ว
การคาดการณ์จาก State Organization and Labor Science Institute ชี้ว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไป โดยอาจมีแรงงานอีก 285,000 คนที่มีความเสี่ยงจะตกงาน
ภาษีคือภาระ เศรษฐกิจคือความเปราะบาง
เป็นเวลาหลายปีที่เวียดนามเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยสามารถวางตำแหน่งตนเองเป็นจุดหมายปลายทางแบบ “China + 1” สำหรับนักลงทุนที่ต้องการปกป้องห่วงโซ่อุปทานของตน ต้นทุนแรงงานที่ต่ำ ทำเลที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์เชิงยุทธศาสตร์ และมาตรการจูงใจที่เอื้ออำนวย ทำให้เวียดนามเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ซึ่งผลักดันให้เกิดคลื่นการลงทุนจากต่างประเทศที่พุ่งสูงสุดตั้งแต่ปี 1996 เพียงหนึ่งทศวรรษหลังจากการปฏิรูป "โด๋ยเหม่ย" (Doi Moi)
แต่ปัจจุบัน นโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนจุดแข็งนั้นให้กลายเป็นจุดอ่อน สถานการณ์ที่พลิกผันนี้เกิดขึ้นเนื่องจากตลอดเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามได้ให้ความสำคัญกับการดึงดูด FDI มากกว่าการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตภายในประเทศ ซึ่งสร้างวงจรของการพึ่งพา ทำให้เศรษฐกิจมีความเปราะบางอย่างมากต่อการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจโลก
นักวิเคราะห์จากธนาคาร UOB ของสิงคโปร์ตั้งข้อสังเกตว่า ความเปราะบางนี้เกิดจากเศรษฐกิจแบบเปิดของเวียดนาม ซึ่งการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 83% ของ GDP ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ (182%) เท่านั้น
ผลกระทบของความเปราะบางนี้ได้สะท้อนให้เห็นในตัวเลขคาดการณ์แล้ว ท่ามกลาง “พายุ” ภาษีที่กำลังดำเนินอยู่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund - IMF) คาดการณ์ว่าการเติบโตของ GDP เวียดนามอาจลดลงเหลือ 5.2% ขณะที่ Moody’s Analytics ได้ปรับลดคาดการณ์สำหรับปี 2025 ลงจาก 6.5% เหลือ 5.5% โดยอ้างอิงจากผลกระทบโดยตรงของนโยบายสหรัฐฯ
ด้วยความท้าทายที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ซึ่งกำลังเปิดเผยจุดอ่อนเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจเวียดนาม คำถามจึงอยู่ที่ว่า ตอนนี้นโยบายใดที่ผู้กำหนดนโยบายของเวียดนามจะนำมาใช้เพื่อสนับสนุนธุรกิจ รักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นมากขึ้น
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/08/vietnams-fdi-firms-caught-in-trumps-transshipment-crossfire/