.

งานวิจัยชี้ จีนแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นแท่น ‘หุ้นส่วนทรงอิทธิพลที่สุด’ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
26-9-2025
งานวิจัยใหม่ชี้ จีนยังคงมีอิทธิพลเหนือสหรัฐฯ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้เพียงเล็กน้อย ผู้เชี่ยวชาญคาดจะแซงหน้ามากขึ้นในอนาคต งานวิจัยล่าสุดจากสถาบันโลวี (Lowy Institute) ของออสเตรเลียเผยว่า จีนยังคงมีความได้เปรียบเหนือสหรัฐฯ เพียงเล็กน้อยในฐานะหุ้นส่วนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าจีนจะยิ่งทิ้งห่างมากขึ้นในอนาคต ตามรายงานของสำนักข่าว ABC News ของออสเตรเลียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
ผู้เชี่ยวชาญชาวจีนรายหนึ่งระบุว่า ความต้องการ “ความแน่นอน” ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สอดคล้องกับปรัชญาการพัฒนาและความต้องการของจีน
ในดัชนีอิทธิพลภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2025 ของสถาบันโลวี จีนได้คะแนนอิทธิพลรวม 65 จาก 100 คะแนน ซึ่งนำหน้าสหรัฐฯ อยู่เพียง 1 คะแนน โดยจีนถูกจัดให้เป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลสูงสุดใน 6 จาก 11 ประเทศในภูมิภาค ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมา ไทย และเวียดนาม
ในด้านอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็น “แต้มต่อ” สำคัญของจีนในภูมิภาค งานวิจัยชี้ว่าจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คิดเป็นประมาณ 20% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะที่สหรัฐฯ อยู่ที่ 16% และจีนยังเป็นแหล่งนำเข้าหลักของภูมิภาค คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 26% ของการนำเข้า
นอกจากนี้ จีนยังเป็นพันธมิตรทางการทูตที่สำคัญที่สุดของภูมิภาค โดยมีเครือข่ายสถานเอกอัครราชทูตครอบคลุม และรักษาความถี่ของการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ตามรายงานของ ABC News
อย่างไรก็ตาม ซูซานนา แพตตัน จากสถาบันโลวีระบุว่า จีนยังตามหลังสหรัฐฯ ในด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะอิทธิพลทางวัฒนธรรม และยังมีเครือข่ายความมั่นคงทางการทหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ค่อนข้างอ่อนแอ
เฉิน หง ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มหาวิทยาลัยครูแห่งชาติตะวันออกของจีน กล่าวกับ Global Times ว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งมากขึ้น โดยเฉพาะการเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของภูมิภาค ทำให้จีนสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น ผ่านความตกลงความร่วมมือต่าง ๆ หลายฉบับ โดยเฉินระบุว่า จีนได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการใช้ข้อได้เปรียบด้านการค้า
แม้ว่าสหรัฐฯ จะตามหลังจีนเพียงเล็กน้อยในด้านอิทธิพลในภูมิภาค แต่ซูซานนา แพตตัน ระบุว่า อิทธิพลของสหรัฐฯ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเสื่อมถอย และมาตรการของสหรัฐฯ ที่เก็บภาษีการค้ากับประเทศในภูมิภาคในอัตราสูง พร้อมกับการตัดลดความช่วยเหลือต่างประเทศและการควบคุมการอพยพที่เข้มงวดขึ้น กำลังเร่งให้ภูมิภาคนี้เอนเอียงไปทางจีนมากยิ่งขึ้น ตามรายงานของ ABC News
เกอ หงเหลียง รองผู้อำนวยการวิทยาลัยอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี ระบุว่า ช่องว่างด้านอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดจากปัจจัยภายนอกที่สำคัญสามประการ
“ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่กำลังเติบโต ขณะที่ชาติตะวันตกกำลังชะลอตัวลง” เกอกล่าว พร้อมเสริมว่า ในฐานะส่วนหนึ่งที่สำคัญของกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้การสนับสนุนพหุภาคีนิยมและโลกาภิวัตน์อย่างแข็งขัน และแสวงหาความแน่นอน ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาการพัฒนาและความต้องการของจีน
นอกจากนี้ นโยบายของสหรัฐฯ ต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีลักษณะที่คลุมเครือและไม่แน่นอนมาอย่างยาวนาน และเมื่อปัญหาความขัดแย้งรุนแรงในหลายภูมิภาคของโลกทวีความรุนแรงขึ้น ความเห็นต่างระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสหรัฐฯ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในบางประเด็น เกอกล่าวเสริม
เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ เฉิน หง กล่าวว่า แนวทางของจีนในการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจนั้นเปิดกว้างและครอบคลุมมากกว่า ไม่ได้จำกัดเพียงการค้าเท่านั้น แต่รวมถึงการลงทุนและความร่วมมือในระดับลึก โดยอิงจากหลักการของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งช่วยสร้างผลประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เฉินยังกล่าวว่า เมื่อเผชิญกับนโยบายของสหรัฐฯ ที่ไม่แน่นอนและเน้นผลประโยชน์ระยะสั้น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงมีแนวโน้มเลือกพันธมิตรที่มั่นคงและมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาวมากกว่า
ขณะเดียวกัน เกอยังชี้ว่าการวิจัยของสถาบันโลวีพึ่งพาข้อมูลทุติยภูมิเป็นหลัก และมองปรากฏการณ์ในกรอบเปรียบเทียบสองขั้ว โดยเน้นเฉพาะการแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ ขณะที่ละเลยบทบาทและอิทธิพลของอาเซียนเอง
“ในความเป็นจริง อาเซียนมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลักการของ ‘ความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน’ (ASEAN centrality) ยังคงเป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญในการดำเนินนโยบายต่างประเทศและความร่วมมือของประเทศสมาชิก” เกอกล่าวปิดท้าย
ที่มา Global Times