ผู้นำ สหรัฐฯ-รัสเซีย 'ยกเลิกการเจรจาสันติภาพ'
ผู้นำ สหรัฐฯ-รัสเซีย 'ยกเลิกการเจรจาสันติภาพ' สงครามยูเครนที่คาดการณ์ไว้ที่บูดาเปสต์ นั่นคือกลยุทธ์ที่ 'ปูติน' วางแผนไว้แล้ว?
3-11-2025
Asia Times รายงานว่า การประกาศเกี่ยวกับการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และผู้นำรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ที่ประเทศฮังการี ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะนำไปสู่การเจรจาสันติภาพสงครามในยูเครน ได้ถูกยกเลิกไปในเวลาไม่กี่วัน โดยทำเนียบเครมลินปฏิเสธว่าไม่เคยเห็นชอบกับการประชุมดังกล่าว ขณะที่ ทรัมป์ ระบุเป็นนัยว่ารัสเซียเป็นฝ่ายยกเลิก ซึ่งหลังจากนั้น ทรัมป์ ได้กล่าวว่าการประชุมกับ ปูติน จะเป็น "การเสียเวลา" หากไม่มีข้อตกลงสันติภาพอยู่ในมือ
นักวิเคราะห์มองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงการพลาดโอกาสชั่วคราว แต่ได้เผยให้เห็นกลไกที่ วลาดิเมียร์ ปูติน ใช้ในการบริหารความสัมพันธ์กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลเสียต่อยูเครน
การเมืองส่วนบุคคล: กลยุทธ์ของปูติน
วลาดิเมียร์ ปูติน และประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ต่างมองว่าสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์สุดท้ายของสงคราม โดย ปูติน ต้องการให้รัสเซียถูกมองว่าเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่และมีสถานะเท่าเทียมกับสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงใช้ "การเมืองส่วนบุคคล" (Personalized Politics) กับ ทรัมป์ โดยตระหนักว่า ทรัมป์ ดูเหมือนจะชื่นชมในตัวเขา
ปูติน เล่นกับอัตตาของ ทรัมป์ อย่างเห็นได้ชัด ดังเช่นหลังจากการประชุมที่อะแลสกาเมื่อเดือนสิงหาคม ทรัมป์ ได้กล่าวถึงความเห็นที่ ปูติน เห็นด้วยกับความกังวลของเขาเกี่ยวกับบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคม ปูติน ยังกล่าวชมเชยความสามารถในการสร้างสันติภาพที่คาดหวังของ ทรัมป์ หลังจากที่เขาไม่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2025
ปูติน สรรเสริญ ทรัมป์ ทั้งเป็นการส่วนตัวและต่อสาธารณะ เพื่อให้มั่นใจว่าเขายังคงเป็นที่พอใจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากนั้นจึงใช้การสนทนาโดยตรงเพื่อเผยแพร่ ข้อเท็จจริงฝ่ายรัสเซีย เกี่ยวกับสาเหตุของการรุกรานยูเครน และเพื่ออธิบาย "รากเหง้าของความขัดแย้ง" ในมุมมองของรัสเซีย ซึ่งหลังจากการพูดคุยโดยตรงเหล่านี้ ทรัมป์ มักจะกล่าวซ้ำประเด็นของรัสเซียต่อสาธารณะและในการประชุมกับผู้นำอื่น ๆ ดังที่เคยเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์และสิงหาคม
สามวัตถุประสงค์หลักของปูติน
ปูติน ดำเนินกลยุทธ์ทั้งหมดนี้เพื่อวัตถุประสงค์สามประการ: สร้างความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยูเครน: ดังเช่นการประชุมอันตึงเครียดระหว่าง เซเลนสกี กับ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ ที่ทำเนียบขาวในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจาก ทรัมป์ ได้สนทนากับ ปูติน ครั้งแรก
ชะลอหรือยุติการสนับสนุนบางอย่างที่ยูเครนหวังจะได้รับจากสหรัฐฯ: กรณีการประชุมสุดยอดที่ฮังการีที่ถูกยกเลิกไป ซึ่งมีการประกาศในหนึ่งวันก่อนที่ เซเลนสกี จะเข้าพบ ทรัมป์ เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดซื้อขีปนาวุธ Tomahawk สำหรับยูเครน หลังจากที่การประชุมของทั้งคู่จบลง ก็ไม่มีข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อภัยคุกคามระยะไกลใหม่นี้ถูกปัดตกไป เครมลินจึงเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องสานต่อการเสแสร้งต่อไป
สร้างความตึงเครียดในพันธมิตรยุโรป-อเมริกา: นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 โดยทั่วไปยุโรปและสหรัฐฯ ยังคงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการสนับสนุนยูเครน แต่คำกล่าวของ ทรัมป์ ที่วิพากษ์วิจารณ์ประเทศยุโรปเกี่ยวกับการใช้จ่ายด้านกลาโหม ประกอบกับความสัมพันธ์ที่ถูกมองว่าใกล้ชิดกับ ปูติน ได้สร้างความตื่นตระหนกในยุโรป
ในทางกลับกัน เซเลนสกี เองก็ใช้การประชุมส่วนตัวกับ ทรัมป์ เพื่อสร้างประโยชน์เช่นกัน โดยยูเครนยังคงมองว่าสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรที่สำคัญ และพยายามบริหารจัดการลักษณะที่เป็น "การทำธุรกรรม" (transactional nature) ของ ทรัมป์ ด้วยการลงนามข้อตกลงแร่ดิบและตกลงซื้ออาวุธจากอเมริกา
ข้อสรุป: การรอคอยเพื่อสันติภาพที่ยาวนาน
นับตั้งแต่การประชุมที่ฮังการีถูกเลื่อนออกไปหรือยกเลิก ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้กล่าวอ้างสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เข้มงวดขึ้นต่อบริษัทน้ำมันรัสเซีย และ ทรัมป์ เองก็กล่าวว่าเขาจะไม่ "เสียเวลา" จนกว่า ปูติน จะเอาจริงเอาจังกับสันติภาพ
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ อาจจะต้องรอไปอีกนาน เนื่องจาก ปูติน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเรียกร้องของตนในยูเครนอย่างจริงจังเลย นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มรุกรานประเทศอย่างเต็มรูปแบบเมื่อกว่าสามปีที่แล้ว เหตุการณ์เหล่านี้จึงสะท้อนถึงความสามารถของ ปูติน ในการบริหารจัดการ ทรัมป์ ในยามที่จำเป็น มากกว่าความปรารถนาที่แท้จริงใด ๆ ที่จะยุติสงครามในยูเครน
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/11/why-putin-doesnt-want-or-need-new-trump-peace-talks/
Image: X Screengrab