ดิก เชนีย์ ผู้อยู่เบื้องหลังสงครามอิรัก เสียชีวิต
Thailand
“ดิก เชนีย์ ผู้อยู่เบื้องหลังสงครามอิรัก เสียชีวิตในวัย 84 ปี”
5-11-2025
อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดิก เชนีย์ (Dick Cheney) เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของโรคปอดบวมและโรคหัวใจและหลอดเลือด ครอบครัวของเขากล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร
“ริชาร์ด บี. เชนีย์ อดีตรองประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา เสียชีวิตเมื่อคืนวันที่ 3 พฤศจิกายน 2025 ขณะมีอายุ 84 ปี” แถลงการณ์ระบุ “ภรรยาที่เขารักมายาวนาน 61 ปี ลินน์ ลูกสาวของเขา ลิซ และแมรี รวมถึงสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ อยู่เคียงข้างเขาในวาระสุดท้าย อดีตรองประธานาธิบดีเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของโรคปอดบวมและโรคหัวใจและหลอดเลือด”
เชนีย์ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีภายใต้รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ตั้งแต่ปี 2001 ถึง 2009 เขาเป็นหนึ่งในสถาปนิกหลักของการรุกรานอิรักโดยสหรัฐฯ ในปี 2003 เขาสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อข้อกล่าวหาที่ว่าผู้นำอิรักในขณะนั้น ซัดดัม ฮุสเซน ครอบครองอาวุธทำลายล้างสูง ซึ่งต่อมาถูกพิสูจน์ว่าไม่เป็นความจริง
เชนีย์ยังผลักดันนโยบาย “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” ในวงกว้าง อนุมัติการทรมานผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย และอนุญาตให้มีการดักฟังโทรศัพท์และอีเมลของชาวอเมริกันโดยไม่มีหมายศาล
เขาออกจากตำแหน่งพร้อมกับคะแนนนิยมต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตามผลสำรวจจากสำนักสำรวจหลายแห่งของสหรัฐฯ แต่เขาไม่เคยแสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจทางนโยบายของตน โดยยืนยันว่าเขาได้ทำสิ่งที่จำเป็นหลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ที่คร่าชีวิตผู้คนเกือบ 2,800 คน
“ผมจะทำอีกครั้งทันทีโดยไม่ลังเล” เขากล่าวในปี 2014 เพื่อตอบต่อรายงานของวุฒิสภาที่ประณามวิธีการสอบสวนของซีไอเอว่าโหดร้าย ไร้ประสิทธิภาพ และทำลายภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในเวทีโลก
นักวิจารณ์ให้เหตุผลว่านโยบายต่างประเทศเชิงรุกของเชนีย์และบทบาทของเขาในสงครามอิรักได้สร้างผลกระทบที่ยืดเยื้อและเป็นอันตรายต่อสหรัฐฯ และโลก พวกเขาระบุว่าการรุกรานครั้งนั้นได้สร้างสุญญากาศแห่งอำนาจ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งทางศาสนา ทำให้ตะวันออกกลางไม่มั่นคง และเป็นต้นกำเนิดของกลุ่มหัวรุนแรง เช่น ไอซิส สงครามดังกล่าวคร่าชีวิตทหารสหรัฐฯ กว่า 4,600 นาย และพลเรือนอิรักสูงสุดถึง 300,000 คน โดยบางการศึกษาประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตจากสงครามรวมกว่า 500,000 คน
เชนีย์ต้องทนทุกข์กับโรคหัวใจและหลอดเลือดเรื้อรังตลอดชีวิตวัยผู้ใหญ่ของเขา และรอดชีวิตจากอาการหัวใจวายหลายครั้ง เขามีอาการหัวใจวายครั้งแรกในปี 1978 ขณะอายุเพียง 37 ปี
เขาประสบภาวะหัวใจวายอีกสี่ครั้ง ซึ่งนำไปสู่การผ่าตัดหลายครั้ง รวมถึงการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (bypass surgery), การขยายหลอดเลือดหัวใจ (angioplasty) และการฝังอุปกรณ์ช่วยหัวใจห้องล่างซ้าย (LVAD) ในปี 2010 ก่อนจะได้รับการปลูกถ่ายหัวใจในปี 2012
ที่มา RT
© Copyright 2020, All Rights Reserved