ทำไมบางปท.ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซื้อเรือรบตุรกี?

ทำไมบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงซื้อเรือรบ เครื่องบิน และขีปนาวุธจากตุรกี?
19-9-2025
CNA รายงานว่า กัวลาลัมเปอร์: ตั้งแต่โดรนไปจนถึงเรือรบทางทะเล ระบบขีปนาวุธ และแม้กระทั่งเครื่องบินรบรุ่นที่ห้า ซัพพลายเออร์รายใหม่ในภูมิทัศน์ด้านกลาโหมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเป็นข่าวในระยะนี้ นั่นก็คือ ตุรกี
การประกาศสัญญาซื้อขายอาวุธ การส่งมอบ และการนำไปใช้งานจากตุรกีโดยอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ทำให้เกิดความสนใจต่อซัพพลายเออร์ที่ไม่ใช่ทางเลือกดั้งเดิมสำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก่อนหน้านี้มักพึ่งพาระบบที่ผลิตโดยชาติตะวันตก ผู้วิเคราะห์ระบุว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้อาวุธของตุรกีน่าสนใจ
สิ่งเหล่านี้รวมถึงราคา ความพร้อมในการรบ แพลตฟอร์มที่มาพร้อมข้อได้เปรียบอย่างการถ่ายโอนเทคโนโลยี โครงการการผลิตร่วม และข้อผูกมัดทางการเมืองที่น้อยกว่า เนื่องจากอังการากำลังมองหาตลาดใหม่ ๆ แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนถึงความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น เช่น การบำรุงรักษาและการทำงานร่วมกับอาวุธจากประเทศอื่น ๆ
ไครุล ฟาห์มี นักวิเคราะห์การทหารจากสถาบันวิจัยความมั่นคงและยุทธศาสตร์ (Institute for Security and Strategic Studies) ในจาการ์ตา กล่าวกับ CNA ว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรมองผลิตภัณฑ์ของตุรกีเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอด้านกลาโหม ไม่ใช่การทดแทนเพียงรายเดียวจากซัพพลายเออร์อื่น “มาตรวัดความสำเร็จของความร่วมมือครั้งนี้จะไม่ใช่แค่จำนวนแพลตฟอร์มที่ซื้อ แต่คือการรักษาความพร้อมในการรบ ความพร้อมใช้งานของระบบ และความสามารถระยะยาวในการปฏิบัติและบำรุงรักษา” เขากล่าว
ในทำนองเดียวกัน จามิล กานี นักศึกษาปริญญาเอกจากโรงเรียน S Rajaratnam School of International Studies (RSIS) สิงคโปร์ บอกกับ CNA ว่า ความร่วมมือใหม่กับตุรกีจะไม่แทนที่ซัพพลายเออร์ดั้งเดิมในทันที “แต่สิ่งเหล่านี้เพิ่มชั้นความซับซ้อนใหม่ให้กับภูมิทัศน์ด้านกลาโหมของภูมิภาค ทั้งในด้านขีดความสามารถและการกระจายความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์” จามิลกล่าว
การขยายตัวของอุตสาหกรรมอาวุธตุรกีในระดับโลก
ตุรกีกำลังขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมอาวุธ โดยมีความต้องการระบบป้องกันประเทศของตนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโดรนและเรือรบ จากผู้นำเข้าหลักอย่างซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ โอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ส่วนแบ่งอาวุธของตุรกีในตลาดโลกเพิ่มจาก 0.8% ระหว่างปี 2015–2019 เป็น 1.7% ระหว่างปี 2020–2024 ตามข้อมูลจากสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) ซึ่งเป็นสถาบันอิสระด้านการวิจัยความขัดแย้ง
ผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดห้ารายระหว่างปี 2020–2024 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน และเยอรมนี ซึ่งทั้งห้าประเทศคิดเป็น 72% ของการส่งออกอาวุธทั่วโลก
อุตสาหกรรมอาวุธของตุรกีเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษที่ผ่านมา โดยการส่งออกเพิ่มจาก 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2013 เป็น 7.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว ตุรกีตั้งเป้าเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดอาวุธโลก และเป็นพันธมิตรสำคัญสำหรับประเทศที่ต้องการกระจายการจัดซื้ออาวุธ และเมื่อไม่นานมานี้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนานี้เช่นกัน
ในเดือนกุมภาพันธ์ อินโดนีเซียลงนามซื้อโดรน Bayraktar TB3 จำนวน 60 ลำ และโดรน Akinci อีก 9 ลำ จากบริษัท Baykar ของตุรกี พร้อมตั้งบริษัทร่วมกับ Republikorp ของอินโดนีเซียเพื่อสร้างโรงงานโดรนในประเทศ
ห้าเดือนต่อมา อินโดนีเซียลงนามสัญญาซื้อเรือฟริเกตล่องหนชั้น Istif 2 ลำจากกลุ่มอู่ต่อเรือ TAIS Shipyards ของตุรกี และในเดือนเดียวกัน อินโดนีเซียยังเซ็น “สัญญาใช้งาน” เพื่อซื้อเครื่องบินรบ KAAN จำนวน 48 ลำจากตุรกี รายละเอียดทางการเงินไม่ได้เปิดเผย แต่มีรายงานว่ามูลค่าสัญญาสูงถึง 10 พันล้านดอลลาร์ นับเป็นหนึ่งในสัญญาด้านกลาโหมที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย
“อินโดนีเซียจะไม่เพียงได้รับยุทโธปกรณ์ไฮเทค แต่ยังมีโอกาสสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในประเทศด้วย” กระทรวงกลาโหมอินโดนีเซียกล่าวกับ Jakarta Globe
KAAN เป็นเครื่องบินรบแห่งชาติรุ่นแรกของตุรกี และทำการบินครั้งแรกเมื่อกุมภาพันธ์ 2024 แต่การผลิตจำนวนมากคาดว่าจะเริ่มในปี 2028
กระทรวงกลาโหมตุรกีกล่าวว่า เครื่องบินรบลำนี้เป็นรุ่นที่ห้า ติดตั้งเครื่องยนต์ General Electric F-110 จำนวนสองเครื่อง ซึ่งใช้ในเครื่องบินขับไล่ F-16 ของสหรัฐฯ ด้วย
แผนการของอินโดนีเซียสำหรับเครื่อง KAAN เป็นการจัดซื้อนอกเหนือจากคำสั่งซื้อเครื่องบินรบ Rafale ของฝรั่งเศส 42 ลำ มูลค่า 8.1 พันล้านดอลลาร์ รวมถึงเครื่องบินรบ Boeing 24 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ขนส่ง Lockheed Martin อีก 24 ลำจากสหรัฐฯ
จากนั้นในเดือนสิงหาคม มีรายงานว่าอินโดนีเซียประจำการระบบขีปนาวุธ KHAN ซึ่งมีพิสัย 280 กม. ที่พัฒนาโดยบริษัท Roketsan ของตุรกีในจังหวัดกาลิมันตันตะวันออก ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงใหม่ นูซันตารา ทำให้อินโดนีเซียกลายเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ใช้งานระบบขีปนาวุธยุทธวิธีสมัยใหม่ดังกล่าว
อินโดนีเซียสั่งซื้อขีปนาวุธ KHAN เมื่อพฤศจิกายน 2022 และเป็นกองทัพแรกนอกตุรกีที่มีระบบนี้ในคลังอาวุธ ตามคำกล่าวของผู้บริหาร Roketsan
มาเลเซีย: โครงการเรือรบและโดรน
โครงการเรือ Littoral Mission Ship Batch 2 ของมาเลเซียกำลังดำเนินการ โดยมีเรือใหม่ 3 ลำสร้างที่ตุรกีตามแบบเรือ Ada-class ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาล บริหารโดยบริษัท STM ของตุรกี พร้อมติดตั้งระบบอาวุธจาก Aselsan และ Roketsan รวมทั้งขีปนาวุธ Atmaca
มาเลเซียยังได้จัดซื้อโดรน ANKA-S MALE ที่คาดว่าจะใช้ในเกาะลาบวนในทะเลจีนใต้ รัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซีย โมฮาเหม็ด คาห์เลด นอร์ดิน กล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคมว่า รัฐบาลตั้งเป้าการถ่ายโอนเทคโนโลยีจากตุรกีในหลายด้านภายในสิ้นปี 2024 โดยเฉพาะระบบการจัดการ การซ่อมบำรุงและปรับปรุงอาวุธทางทะเล และการปฏิบัติงานอากาศยานไร้คนขับ
ฟิลิปปินส์: ฮ.โจมตีจากตุรกี
ฟิลิปปินส์ได้รับมอบเฮลิคอปเตอร์โจมตี T129 ATAK จำนวน 6 ลำจากตุรกี โดยคู่สุดท้ายประจำการเมื่อพฤษภาคม 2024 โดยสัญญามูลค่า 270 ล้านดอลลาร์ลงนามตั้งแต่ปี 2020
เฮลิคอปเตอร์รุ่นนี้สามารถปฏิบัติภารกิจรบและโจมตีแม่นยำได้หลากหลาย รวมถึงการปฏิบัติในกลางวันและกลางคืนท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้าย กองทัพอากาศฟิลิปปินส์ระบุว่า ฮ.เหล่านี้จะช่วยเสริมขีดความสามารถในการรบ โดยเฉพาะในสงครามเมือง
ตุรกีปรากฏตัวบ่อยครั้งในเวทีอาวุธภูมิภาค
จามิลจาก RSIS กล่าวว่าบริษัทอาวุธของตุรกีเริ่มเป็นผู้เล่นประจำในงานแสดงอาวุธระดับภูมิภาค เช่น Defence Service Asia 2024 ที่กัวลาลัมเปอร์ และงาน LIMA 2025 ที่ลังกาวี โดยมีบริษัทตุรกี 17 แห่งเข้าร่วม ลงนาม MOU หลายฉบับกับคู่ค้าชาวมาเลเซีย และยังดึงความสนใจจากคณะผู้แทนไทยและสิงคโปร์
ทำไมจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง
อับดุล ราห์มาน ยาคอบ นักวิจัยจาก Lowy Institute ระบุว่า สำหรับอินโดนีเซีย บทเรียนจากการถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรการขายอาวุธระหว่างปี 1999–2005 เป็นแรงผลักดันสำคัญ ทำให้อินโดนีเซียต้องกระจายซัพพลายเออร์เพื่อความมั่นคงทางยุทโธปกรณ์ และเพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ
สัญญาซื้อเครื่องบินรบ KAAN 48 ลำของอินโดนีเซียรวมถึงการถ่ายโอนเทคโนโลยี การประกอบในประเทศ และการร่วมผลิตกับบริษัท PT Dirgantara และ PT Republik Aero Dirgantara
ในกรณีมาเลเซีย ตุรกีตกลงถ่ายโอนเทคโนโลยีด้านระบบจัดการและซ่อมบำรุงอาวุธทางทะเล ราคาก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยโดรน Bayraktar TB2 ราคาประมาณ 5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับ MQ-9 Reaper ของสหรัฐฯ ที่ราว 30 ล้านดอลลาร์
แลม ชุง หัว นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยมาเลเซีย กล่าวว่ามาเลเซียยังมีแรงจูงใจทางการเมือง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างนายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม กับประธานาธิบดีแอร์โดอันของตุรกี
ไครุลเสริมว่า ความยืดหยุ่นทางการเมืองที่ตุรกีมอบให้ โดยไม่ผูกมัดมากนัก สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของหลายชาติในภูมิภาค
ความท้าทายยังคงอยู่
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงอุปสรรคสำคัญ เช่น การบูรณาการระบบใหม่เข้ากับอาวุธที่หลากหลายอยู่แล้ว ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาการทำงานร่วมกัน
อินโดนีเซียอาจเจอปัญหาใหญ่ในการทำให้ KAAN ทำงานร่วมกับ Su-30 ของรัสเซียและ F-16 ของสหรัฐฯ ขณะที่งบประมาณซ่อมบำรุงอาจไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นสาเหตุให้อาวุธราคาแพงไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพในระยะยาว
แลมยังเตือนว่า ส่วนประกอบสำคัญหลายอย่างของอาวุธตุรกียังต้องพึ่งผู้ผลิตจากสหรัฐฯ อังกฤษ และยุโรป เช่น เครื่องยนต์และเรดาร์ ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงด้านการสนับสนุน
จามิลระบุว่า ความกังวลเหล่านี้ส่งผลให้ข้อตกลงการซื้อขายถูกวางเงื่อนไขเข้มขึ้น เช่น การส่งมอบเป็นเฟส การสาธิตประสิทธิภาพ และการรับประกันการสนับสนุน
เขาเสริมว่า เครื่องบินรบ KAAN ยังอยู่ในขั้นต้นแบบ และผู้ซื้ออาจลังเลจนกว่าจะเห็นผลการใช้งานจริง ต่างจากระบบที่พิสูจน์แล้วในสนามรบ เช่น โดรน Bayraktar TB2 และ Akinci ซึ่งเป็นที่ยอมรับง่ายกว่า
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.channelnewsasia.com/asia/indonesia-malaysia-turkiye-arms-deals-weapons-5346316