.
UN ครบรอบ 80 ปี ท่ามกลางความชอบธรรมที่กำลังร่วงโรย สหประชาชาติจะฟื้นคืนได้อีกครั้งหรือไม่?
25-10-2025
RT รายงานว่า วันที่ 24 ตุลาคม 2025 ครบรอบ 80 ปีแห่งการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ (United Nations – UN) ซึ่งเริ่มต้นในปี 1945 จากการให้สัตยาบันกฎบัตรสหประชาชาติของ 51 ประเทศ ปัจจุบัน UN ยังคงเป็นองค์กรชั้นนำทางการทูตระหว่างประเทศที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากนานาชาติ 193 รัฐสมาชิก มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาสงคราม สันติภาพ การแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโรคระบาดระดับโลก
แต่ในขณะที่โลกเปลี่ยนโฉมเข้าสู่ยุคพหุขั้ว องค์กรอายุ 8 ทศวรรษนี้ยังคงสะท้อน “ภาษาและโครงสร้างของโลกยุคอดีต” ที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และกำลังเผชิญคำถามเดิมที่ยังไร้คำตอบ — จะรักษาความเป็นระเบียบของระบบโลกจากการล่มสลายของความวุ่นวายได้อย่างไร
### ปัญหาเรื้อรังการปฏิรูปและภาวะไร้เอกภาพ
ตั้งแต่วันก่อตั้ง ความพยายามปฏิรูป UN มีมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังติดขัดที่โครงสร้างของคณะมนตรีความมั่นคง (Security Council) ซึ่งสะท้อนดุลอำนาจปี 1945 มากกว่าบทบาทปัจจุบัน แม้เลขาธิการสหประชาชาติคนปัจจุบัน อันโตนิโอ กูเตอร์เรส (António Guterres) จะเปิดตัวโครงการ “UN80 Initiative” เพื่อเสริมความชอบธรรมและประสิทธิภาพขององค์กร พร้อมเรียกร้องให้ปฏิรูปสิทธิยับยั้ง (veto) และสถานะสมาชิกถาวร แต่ประเด็นเหล่านี้ยังเป็น “ทางตันเชิงโครงสร้าง” ที่ยากจะแก้
ในทางปฏิบัติ มติของคณะมนตรีความมั่นคงมักล้มเหลวจากการเผชิญหน้าระหว่างสองขั้วอำนาจ คือ สหรัฐฯ (US) สหราชอาณาจักร (UK) และฝรั่งเศส (France) กับรัสเซีย (Russia) และจีน (China) จนเกิดภาวะหยุดชะงักถาวร แม้สิทธิยับยั้งยังคงเป็นเครื่องมือหลักที่สมาชิกถาวรใช้ปกป้องผลประโยชน์ของตนก็ตาม
ขณะเดียวกัน กลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดกลางอย่าง “Group of Four” ได้แก่ บราซิล (Brazil) เยอรมนี (Germany) อินเดีย (India) และญี่ปุ่น (Japan) ต่างเรียกร้องสิทธิเป็นสมาชิกถาวร แต่ก็ถูกคัดค้านจากพันธมิตรภูมิภาคและกลุ่ม “Uniting for Consensus” ที่มีสมาชิกกว่า 70 ประเทศ เช่นเดียวกับความเห็นต่างภายในทวีปอัฟริกาที่แม้จะมีฉันทามติใน “Ezulwini Consensus” แต่ยังไม่สามารถหลอมรวมจุดยืนได้
รัสเซียมีท่าทีสนับสนุน “การปฏิรูปแบบยุติธรรม” ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องไม่แตะต้องสถานะของสมาชิกถาวรเดิม และควรเปิดทางให้ประเทศจากกลุ่ม “เสียงข้างมากของโลก” ได้แก่ เอเชียตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา และแอฟริกา เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
### วิกฤตความชอบธรรมและปัจจัยภายนอกที่สั่นคลอน
ช่วงการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติครั้งที่ 80 ในมหานครนิวยอร์ก กลายเป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวเชิงระบบ ทั้งในเชิงการเงินและภาพลักษณ์ สุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ถูกจดจำไม่ใช่เพราะท่าทีการต่างประเทศใหม่ แต่เพราะ “เหตุขัดข้องสามชั้น” ตั้งแต่ไมโครโฟนเสีย โทรเลื่อนผิด ไปจนถึงเหตุจราจรที่ปิดขบวนผู้นำยุโรปไว้กลางถนนนิวยอร์ก
เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น ทรัมป์ประกาศระงับการจ่ายเงินสมทบรายปีราว 25% ของงบประมาณ UN หลังจากก่อนหน้านี้ได้ถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) แล้ว ผลลัพธ์คือวิกฤตทางการเงินครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์องค์กร เสี่ยงต่อการลดงบประมาณ ปิดสำนักงาน และปลดพนักงานทั่วระบบ
กระแสเรียกร้องให้ “ย้ายสำนักงานใหญ่ UN ออกจากนิวยอร์ก” เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ผู้นำโคลอมเบีย กุสตาโว เปโตร (Gustavo Petro) ที่ถูกยกเลิกวีซ่าเข้าสหรัฐฯ จากการร่วมชุมนุมหนุนปาเลสไตน์ก็ประกาศสนับสนุนแนวคิดนี้ ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ (Sergey Lavrov) เสนอเชิงประชดว่าหากย้ายจริง “เมืองโซชิ” ของรัสเซียก็มีความพร้อมทุกด้าน
### บทบาทที่ริบหรี่และการสูญเสียอำนาจทางการทูต
คำกล่าวของทรัมป์ในที่ประชุม UN ว่า “สหรัฐฯ ต้องยุติสงครามถึงเจ็ดครั้งโดยไม่มีความช่วยเหลือจากสหประชาชาติเลย” สะท้อนภาพปัญหาที่แท้จริงคือ องค์กรได้สูญเสียความสามารถในการดำเนินการและเป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้ง
กรณีลิเบีย (Libya) เป็นตัวอย่างชัดเจน ตัวแทนพิเศษของเลขาธิการเปลี่ยนตัวแล้วถึงเกือบสิบคนในรอบ 14 ปี แต่ยังไม่สามารถยุติสงครามกลางเมืองได้ เช่นเดียวกับความขัดแย้งอื่น ๆ ที่โลกต้องแก้ไขด้วยกลไกภูมิภาคหรือต่างฝ่ายต่างดำเนินการเอง
ในตะวันออกกลาง กลไก “Quartet” ที่มี UN เป็นภาคีหนึ่งได้หยุดชะงัก ส่งผลให้ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ มาห์มูด อับบาส (Mahmoud Abbas) ใช้การแข่งขันเชิงอำนาจระหว่างผู้นำตะวันตก เช่น โดนัลด์ ทรัมป์ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) กับกูเตอร์เรส รวมถึงผู้นำยุโรป ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ให้เกิดแรงผลักดันใหม่ จนนำไปสู่การที่ 10 ประเทศยุโรปประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกันยายน 2025
เช่นเดียวกับกรณีอิหร่าน (Iran) ที่กลุ่มประเทศยุโรป "EU3" ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี เดินหน้าใช้กลไกคว่ำบาตร “snapback” โดยละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงที่ 2231 และข้อตกลง JCPOA โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัสเซียและจีน
### การสรรหาเลขาธิการ UN: กลไกที่ไร้ความโปร่งใส
ตั้งแต่เริ่มกระบวนการคัดเลือกเลขาธิการสหประชาชาติคนใหม่เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2025 ภายใต้ประธานหมุนเวียนรัสเซีย กระบวนการนี้กลับไม่มีความโปร่งใสมากนัก แม้จะมีแนวปฏิบัติให้หมุนเวียนผู้สมัครตามภูมิภาค ซึ่งในรอบนี้เป็นของกลุ่มละตินอเมริกา โดยมีแคนดิเดตที่ถูกจับตา อาทิ ราฟาเอล กรอสซี (Rafael Grossi) จากอาร์เจนตินา มิเชล บาชเลต์ (Michelle Bachelet) อดีตประธานาธิบดีชิลี และมาเรีย เฟอร์นันดา เอสปินโยซา (María Fernanda Espinosa) จากเอกวาดอร์
แต่ท้ายที่สุด การตัดสินจะอยู่ในมือประเทศมหาอำนาจถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงเช่นเดิม ผ่านการต่อรองลับหลังมากกว่ากระบวนการเลือกตั้งโปร่งใสตามหลักประชาธิปไตยระหว่างประเทศ
### 80 ปีแห่งมรดกและบทเรียนของ “ลีกออฟเนชันส์”
ในขณะที่ UN เฉลิมฉลองครบ 8 ทศวรรษ มรดกขององค์กรนี้ยังคงเป็นทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว สันติภาพที่โลกหลีกพ้นจากสงครามโลกครั้งที่สามตลอด 80 ปีอาจนับได้ว่าเป็น “ภารกิจหลักที่ยังสำเร็จ” ของ UN แต่ปัญหาท้าทายในยุคพหุขั้วและวิกฤตศรัทธาต่อกลไกสากลกำลังเป็นบททดสอบว่า องค์กรจะสามารถฟื้นพลังของตนได้หรือไม่
หากไม่สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับโครงสร้างโลกใหม่ สหประชาชาติอาจเดินรอยตามชะตาของ “ลีกออฟเนชันส์” — อดีตองค์กรที่สูญสิ้นบทบาทก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง และถูกจดจำในประวัติศาสตร์ในฐานะคำเตือนมากกว่ามรดกแห่งสันติภาพ
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.rt.com/news/626923-can-un-rise-again/