.
จีนเล็งใช้การฟื้นฟูยูเครนหลังสงคราม เป็น ‘ประตูยุทธศาสตร์’ สู่เวทีโลก?
27-11-2025
SCMP รายงานว่า จีนอาจไม่อยู่แนวหน้าในการผลักดันแผนสันติภาพยูเครนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) แต่ปักกิ่งมองว่าแนวทางยุติสงครามครั้งนี้จะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว ตั้งแต่ดุลอำนาจโลก ไปจนถึงโอกาสในการเข้าไปมีบทบาทในโครงการฟื้นฟูยูเครนหลังสงครามยุติ ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านจีนและรัสเซียหลายราย
แผนสันติภาพที่ทรัมป์เป็นตัวกลางเจรจาเพื่อยุติสงครามที่ยืดเยื้อเกือบสี่ปี เริ่มต้นในรูปกรอบข้อเสนอ 28 ข้อ ก่อนจะถูกปรับลดเหลือ 19 ข้อ หลังร่างเดิมเผชิญเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากฝ่ายยูเครนและยุโรปว่ามีเนื้อหาเอื้อต่อรัสเซียมากเกินไป ทรัมป์ที่เคยพยายามเร่งกระบวนการด้วยการตั้งเส้นตายอย่างชัดเจนให้เคียฟตอบรับข้อเสนอภายในวันพฤหัสบดี ล่าสุดได้ถอยจากกรอบเวลาเดิม โดยระบุว่าร่างแผนถูก “ปรับแต่งรายละเอียด” แล้ว และยังส่งคณะผู้เจรจาสหรัฐฯ ชุดใหม่ ซึ่งรวมถึงจาเรด คุชเนอร์ (Jared Kushner) บุตรเขยของเขา เดินทางไปมอสโกและเคียฟเพื่อหารือในระดับสูงเพิ่มเติม
ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบิน Air Force One ว่า สำหรับเขาแล้ว “เส้นตายที่แท้จริง” คือวันที่สงครามยุติ พร้อมชี้ว่าทุกฝ่าย “เหนื่อยกับการสู้รบ” ขณะที่ฝั่งรัสเซีย เซอร์เกย์ เรียบคอฟ (Sergey Ryabkov) รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ ระบุว่ามอสโกมีการติดต่อใกล้ชิดกับจีนในประเด็นความพยายามยุติสงครามยูเครน แม้ว่าในทางปฏิบัติ ปักกิ่งจะไม่ได้มีบทบาทโดยตรงในวงเจรจาที่กำลังดำเนินอยู่
ในการพูดคุยทางโทรศัพท์กับทรัมป์เมื่อวันจันทร์ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ยืนยันจุดยืนสนับสนุน “ทุกความพยายามที่เกื้อหนุนต่อสันติภาพ” พร้อมเรียกร้องให้มีข้อตกลงสันติภาพที่ “ยุติธรรม ยั่งยืน และมีผลผูกพัน” ซึ่งสามารถแก้ไขวิกฤตยูเครนได้จาก “รากเหง้า” ของปัญหา ขณะเดียวกัน ปักกิ่งก็ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดว่าต้องการให้โครงสร้างข้อตกลงสุดท้ายเป็นอย่างไร และจะส่งผลต่อสมการสหรัฐฯ–จีน–รัสเซียในระยะยาวอย่างไร
หลี่ ลี่ฝาน (Li Lifan) ผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซียและเอเชียกลางจาก Shanghai Academy of Social Sciences ระบุว่า แต้มต่อหลักของจีนไม่ได้อยู่ที่บทบาทในโต๊ะเจรจาที่นำโดยสหรัฐฯ หากแต่อยู่ในช่วงฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม ตลอดจนการจัดวางสถานะของตนใน “สามเหลี่ยม” สหรัฐฯ–จีน–รัสเซีย และการดึงบทเรียนทางทหารจากสงครามยูเครน เขามองว่าจีนมีท่าที “ค่อนข้างสงบ” ต่อกระบวนการเจรจา และเชื่อว่าปักกิ่ง “สามารถยอมรับได้” กับข้อตกลงหลากหลายรูปแบบ หากไม่กระทบผลประโยชน์หลักของตน
หลี่ชี้ว่า ประเด็นผลประโยชน์ของจีนยังแทบไม่ปรากฏในร่างแผนสันติภาพฉบับปรับแก้ เนื่องจากส่วนว่าด้วยการฟื้นฟูและการลงทุนหลังสงครามยังไม่ถูกนำมาวางเป็นหัวใจของข้อตกลง เขาเชื่อว่าปักกิ่ง “กำลังรอจังหวะที่เหมาะสม” ในการเข้ามามีบทบาท โดยถือไพ่สำคัญในด้านศักยภาพก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ การมีอิทธิพลเหนือมอสโก และความสามารถในการอัดฉีดเงินลงทุนเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจยูเครนในระยะยาว
ร่างแผน 28 ข้อฉบับแรกสร้างความประหลาดใจให้หลายฝ่าย เพราะรวมข้อเสนออ่อนไหวอย่างการให้ยูเครนสละดินแดนบางส่วนในภูมิภาคดอนบาส การยุติเป้าหมายเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) การจำกัดขนาดกองทัพ และการนำทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกอายัดมาใช้เป็นเงินทุนฟื้นฟูประเทศ ข้อเสนอดังกล่าวหลายส่วนถูกแก้ไขหรือตัดทิ้งในร่างล่าสุด ขณะที่ทรัมป์พยายามลดแรงปะทะโดยย้ำว่าสิ่งที่ถูกเผยแพร่ในช่วงแรกเป็นเพียง “แนวคิด” หรือ “แผนที่” สำหรับใช้เป็นกรอบเจรจา มากกว่าจะเป็นข้อตกลงสุดท้ายที่ผูกมัดทุกฝ่าย
บทวิเคราะห์ยังชี้ว่า การที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายลงหลังการพบปะระหว่างทรัมป์และสีในเกาหลีใต้เมื่อเร็วๆ นี้ อาจเพิ่มอำนาจต่อรองให้ปักกิ่งภายใต้สไตล์ “การทูตเชิงต่อรอง” ของทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการเยือนจีนของผู้นำสหรัฐฯ ที่ถูกจับตามองกำลังใกล้เข้ามา หลี่ตั้งคำถามว่า หากข้อตกลงสันติภาพเกิดขึ้นจริง ผลประโยชน์ของรัสเซียจะถูกการันตีอย่างไร ขณะที่ชาติตะวันตกย่อมให้ความสำคัญกับยูเครนเป็นลำดับแรก พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าสหรัฐฯ อาจคาดหวังให้จีนมีส่วนแบกรับภาระบางด้าน เช่น การฟื้นฟูประเทศ การดูแลผู้พลัดถิ่น หรือการเยียวยาปัญหาทางจิตใจหลังสงคราม
เขายังชี้ด้วยว่า ทรัมป์ให้ความสำคัญกับ “สามเหลี่ยมสหรัฐฯ–จีน–รัสเซีย” อย่างมาก รวมถึงแนวคิดการจัดประชุมสุดยอดผู้นำทั้งสามประเทศ ซึ่งทำให้ทรัมป์ “ต้องพึ่งพา” ปักกิ่งในระดับหนึ่ง สำหรับจีน สงครามยูเครนยังเป็น “แบบเรียนจริง” ในการศึกษากองทัพรัสเซียและยูเครน ทั้งในด้านยุทธวิธี การประเมินสถานการณ์ และการวิเคราะห์ข่าวกรอง ซึ่งล้วนสามารถนำมาปรับใช้ในยุทธศาสตร์ของจีนเอง
อย่างไรก็ดี ด้วยอิทธิพลที่จำกัดต่อยูเครนและยุโรป จีนอาจไม่มีพื้นที่มากนักในการเข้าร่วมโต๊ะเจรจาสันติภาพอย่างเป็นทางการ แม้จะพยายามวางตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หลี่มองว่า ในทางปฏิบัติ จุดเข้าที่เป็นไปได้และ “ปลอดภัยที่สุด” สำหรับจีนคือการเข้าไปมีบทบาทด้านการฟื้นฟูหลังสงคราม ผ่านทุน เทคโนโลยี และประสบการณ์โครงสร้างพื้นฐานของบริษัทจีน พร้อมกับระมัดระวังไม่ให้ถูกมองว่าหนุนหลังรัสเซียโดยตรง หรือส่งกำลังทหารไปปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพในยุโรป
อีกด้านหนึ่ง สือ หยินหง (Shi Yinhong) ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินในปักกิ่ง แสดงความสงสัยว่าจีนจะมีบทบาทจริงทั้งในโต๊ะเจรจาและการฟื้นฟูหลังสงคราม โดยให้เหตุผลว่ายูเครนและยุโรปไม่น่าจะยอมรับบทบาทของปักกิ่ง เพราะมองว่าจีนมีความใกล้ชิดกับมอสโกสูง ขณะที่สหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ก็ไม่ต้องการให้ “คนนอก” ที่ไม่ได้มีส่วนผลักดันข้อตกลง เข้ามารับเครดิตทางการเมือง
สือมองว่ารัสเซียอาจเปิดรับบทบาทของจีน แต่ด้วยข้อจำกัดจากฝั่งยูเครนและยุโรป ปักกิ่งจึงไม่สามารถ “เล่นใหญ่” ได้จริง อีกทั้งมอสโกเองก็มีความพึ่งพาจีนสูงอยู่แล้ว ทั้งในมิติพลังงาน การค้า และการเงิน เขาตั้งข้อสังเกตว่า รัสเซียคงไม่ยอมให้จีนประกาศตัวว่า “เป็นผู้กอบกู้จากปลักสงคราม” ได้ง่ายๆ
สำหรับแผนสันติภาพของทรัมป์ สือประเมินว่า โอกาสประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนยังมีจำกัด การเจรจาที่ผูกกับกรอบ 19 ข้อมีแนวโน้มสะดุดในประเด็นหลักอย่างอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน หลักประกันความมั่นคงหลังสงคราม และบทบาทของสหภาพยุโรปกับ NATO เขาให้ภาพว่า สงครามรัสเซีย–ยูเครนอาจ “หยุดด้วยเครื่องหมายจุลภาคหรืออัฒภาค แต่ไม่ใช่จุดเต็ม” เพราะความทะเยอทะยานของมอสโกยังไม่จบสิ้น ขณะที่ยุโรปย่อมไม่ยอมปล่อยให้สถานะปัจจุบันดำรงอยู่ไปอย่างไม่มีกำหนด
หลี่เห็นพ้องว่า ภาพรวมยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะคำถามว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) จะยอมรับกรอบ 19 ข้อหรือจะขอเพิ่มเงื่อนไขใหม่ เขาชี้ไปที่การเพิ่มระดับการโจมตีของรัสเซียในช่วงที่มีการเจรจา ซึ่งสะท้อนว่ามอสโกต้องการสร้างแต้มต่อในสนามรบเพื่อนำไปใช้ต่อรองบนโต๊ะเจรจา มากกว่าพึ่งข้อความในเอกสารเพียงอย่างเดียว
ทั้งหลี่และสือยังเตือนว่าปักกิ่งกังวลต่อความเป็นไปได้ที่การปิดดีลสงครามยูเครนจะทำให้สหรัฐฯ สามารถย้ายทรัพยากรด้านการทหารและการทูตกลับไปโฟกัสที่อินโด–แปซิฟิกมากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อจีนโดยตรง ในมุมมองของหลี่ จีนจึงมีแนวโน้มจะยังรักษาความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับรัสเซียในฐานะ “ขั้วหนึ่ง” ของระเบียบโลกแบบหลายขั้ว พร้อมจับตาความเป็นไปได้ของดีลลับระหว่างวอชิงตันและมอสโกอย่างใกล้ชิด และมองการจัดวางความสัมพันธ์กับรัสเซียในกรอบยุทธศาสตร์ระยะยาว มากกว่าหยุดอยู่แค่กรอบสงครามยูเครนเพียงเรื่องเดียว
----
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/news/china/diplomacy/article/3334264/offstage-peace-talks-china-eyes-ukraine-rebuilding-strategic-entry-point?module=top_story&pgtype=homepage