ออสเตรเลียกำลังบังคับใช้การแบนโซเชียลมีเดีย
ออสเตรเลียกำลังพยายามบังคับใช้การแบนโซเชียลมีเดียสำหรับวัยรุ่นครั้งแรกในโลก ขณะที่รัฐบาลทั่วโลกจับตาดูอย่างใกล้ชิด
11-12-2025
ออสเตรเลียกลายเป็นประเทศแรกที่สั่งห้ามผู้ใช้อายุต่ำกว่า 16 ปีเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่คาดว่าจะถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากบรรดาบริษัทเทคโนโลยีและผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก มาตรการห้ามดังกล่าวของแคนเบอร์รา ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เที่ยงคืนตามเวลาท้องถิ่น มุ่งเป้าไปที่บริการรายใหญ่ 10 ราย รวมถึง YouTube ของ Alphabet, Instagram ของ Meta, TikTok ของ ByteDance, Reddit, Snapchat และ X ของอีลอน มัสก์
กฎใหม่ที่เป็นประเด็นถกเถียงนี้กำหนดให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ ต้องดำเนินการ “อย่างเหมาะสม” เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยผู้เยาว์ โดยใช้วิธีการยืนยันอายุ เช่น การประเมินจากพฤติกรรมออนไลน์ การประมาณอายุจากภาพเซลฟี่ การอัปโหลดบัตรประจำตัวประชาชน หรือการเชื่อมบัญชีธนาคาร
แพลตฟอร์มที่ถูกระบุต่างยินยอมปฏิบัติตามนโยบายนี้ในระดับหนึ่ง X ของอีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้คัดค้านรายสุดท้าย ก็ส่งสัญญาณเมื่อวันพุธว่าจะปฏิบัติตามเช่นกัน นโยบายดังกล่าวทำให้เด็กชาวออสเตรเลียหลายล้านคนคาดว่าจะไม่สามารถเข้าถึงบัญชีโซเชียลมีเดียของตนได้อีกต่อไป
ทั้งนี้ ผลกระทบของมาตรการนี้อาจกว้างไกลยิ่งขึ้น เพราะมันจะกลายเป็นมาตรฐานให้รัฐบาลประเทศอื่น ๆ ที่กำลังพิจารณาการห้ามใช้โซเชียลมีเดียในกลุ่มวัยรุ่น เช่น เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฝรั่งเศส สเปน มาเลเซีย และนิวซีแลนด์
การบังคับใช้ที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียง
ก่อนที่กฎหมายจะผ่านความเห็นชอบเมื่อปีที่แล้ว ผลสำรวจของ YouGov พบว่า 77% ของชาวออสเตรเลียสนับสนุนการแบนโซเชียลมีเดียสำหรับผู้มีอายุต่ำกว่า 16 ปี อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่มีผลอย่างเป็นทางการก็เผชิญกับการต่อต้านบางส่วน ผู้สนับสนุนร่างกฎหมายให้เหตุผลว่า มาตรการนี้ช่วยปกป้องเด็กจากอันตรายที่เกี่ยวข้องกับโซเชียลมีเดีย รวมถึงการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ ปัญหาสุขภาพจิต และการเสี่ยงต่อผู้ล่าทางออนไลน์และสื่อลามก
หนึ่งในผู้ที่สนับสนุนการประกาศแบนอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธคือ โจนาธาน ไฮต์ นักจิตวิทยาสังคมและผู้เขียนหนังสือ The Anxious Generation หนังสือขายดีปี 2024 ที่เชื่อมโยงวิกฤตสุขภาพจิตที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับการใช้สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ในโพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X ไฮต์ชื่นชมผู้กำหนดนโยบายในออสเตรเลียที่ “ปลดปล่อยเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีจากกับดักโซเชียลมีเดีย” “แน่นอนว่าจะมีความยากลำบากในช่วงแรก ๆ แต่ทั่วโลกกำลังเอาใจช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ และจะมีอีกหลายประเทศที่เดินตามรอย” เขากล่าวเสริม
ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายคัดค้านให้เหตุผลว่าการแบนนี้ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูล ก่อให้เกิดความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวจากการตรวจสอบอายุที่ละเมิดสิทธิ และเป็นการแทรกแซงของรัฐที่มากเกินไปซึ่งบั่นทอนความรับผิดชอบของผู้ปกครอง ผู้วิจารณ์เหล่านั้นรวมถึงกลุ่มต่าง ๆ เช่น Amnesty Tech ซึ่งระบุในแถลงการณ์เมื่อวันอังคารว่าการแบนดังกล่าวเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ได้ผล และมองข้ามสิทธิและความเป็นจริงของคนรุ่นใหม่
“วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการปกป้องเด็กและเยาวชนออนไลน์ คือการปกป้องผู้ใช้โซเชียลมีเดียทุกคนด้วยกฎระเบียบที่ดีขึ้น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลที่เข้มแข็งขึ้น และการออกแบบแพลตฟอร์มที่ดียิ่งขึ้น” ดามินี สาติจา ผู้อำนวยการโครงการของ Amnesty Tech กล่าว
ในขณะเดียวกัน เดวิด อินเซอร์รา นักวิชาการด้านเสรีภาพในการแสดงออกและเทคโนโลยีจากสถาบันเคโต เตือนในบล็อกโพสต์ว่า เด็ก ๆ จะหาทางหลีกเลี่ยงนโยบายใหม่โดยย้ายไปใช้แพลตฟอร์มอื่น แอปส่วนตัวอย่าง Telegram หรือ VPN ซึ่งอาจทำให้พวกเขาเข้าสู่ “ชุมชนที่โดดเดี่ยวมากขึ้นและแพลตฟอร์มที่มีการปกป้องน้อยกว่า” ที่การตรวจสอบทำได้ยากกว่า
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Google ยังเตือนด้วยว่านโยบายนี้อาจบังคับใช้ได้ยากอย่างยิ่ง ขณะที่รายงานที่รัฐบาลว่าจ้างต่างชี้ให้เห็นถึงความไม่แม่นยำของเทคโนโลยียืนยันอายุ เช่น ซอฟต์แวร์ประมาณอายุจากภาพเซลฟี่ จริง ๆ แล้ว เมื่อวันพุธ รายงานท้องถิ่นในออสเตรเลียระบุว่า เด็กจำนวนมากสามารถเลี่ยงการแบนได้แล้ว โดยเครื่องมือยืนยันอายุทำให้ผู้ใช้หลายคนถูกจำแนกผิด และวิธีหลบเลี่ยงอย่าง VPN ก็ได้ผล อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แอนโทนี อัลบานีส พยายามเตรียมรับมือกับประเด็นเหล่านี้ล่วงหน้า โดยยอมรับในบทความความคิดเห็นเมื่อวันอาทิตย์ว่าระบบจะไม่สามารถทำงานได้อย่างไร้ที่ตังในทันที พร้อมเปรียบเทียบกับกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
“ความจริงที่ว่าเด็กวัยรุ่นยังหาวิธีดื่มได้เป็นบางครั้ง ไม่ได้ทำให้มาตรฐานระดับชาติที่ชัดเจนหมดความสำคัญลง” เขากล่าวเสริม
ผู้เชี่ยวชาญบอกกับ CNBC ว่าการบังคับใช้นโยบายนี้คาดว่าจะยังคงเผชิญความท้าทายต่อไป และหน่วยงานกำกับดูแลจำเป็นต้องใช้แนวทางลองผิดลองถูก
“ยังมีปัญหาช่วงเริ่มต้นอยู่มาก เยาวชนจำนวนไม่น้อยโพสต์บน TikTok ว่าพวกเขาหลบเลี่ยงข้อจำกัดอายุได้สำเร็จ และนี่ก็เป็นสิ่งที่คาดไว้ได้” เทอร์รี ฟลิว ศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารและวัฒนธรรมดิจิทัลจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์กล่าว
“คุณไม่มีทางทำให้ผู้ใช้อายุต่ำกว่า 16 ปีทั้งหมดหายไปจากทุกแพลตฟอร์มที่ถูกระบุได้ 100% ตั้งแต่วันแรก” เขากล่าวเสริม
ผลกระทบในระดับโลก
ผู้เชี่ยวชาญบอกกับ CNBC ว่าการบังคับใช้นโยบายในออสเตรเลียจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดโดยบริษัทเทคโนโลยีและผู้ร่างกฎหมายทั่วโลก ในขณะที่หลายประเทศกำลังพิจารณาแผนการห้ามหรือจำกัดการใช้โซเชียลมีเดียสำหรับวัยรุ่นของตนเอง
“รัฐบาลต่างตอบสนองต่อความคาดหวังของสาธารณชนที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย และบริษัทเหล่านี้เองก็ไม่ได้ตอบสนองต่อแรงกดดันด้านศีลธรรมมากนัก” ฟลิวกล่าว
“เรากำลังเห็นแรงกดดันลักษณะนี้เกิดขึ้นในหลายที่ โดยเฉพาะ — แต่ไม่เฉพาะ — ในยุโรป” เขาเสริม
รัฐสภายุโรปได้ผ่านมติที่ไม่มีผลผูกพันเมื่อเดือนพฤศจิกายน ซึ่งสนับสนุนการกำหนดอายุขั้นต่ำ 16 ปีสำหรับการเข้าถึงโซเชียลมีเดีย โดยอนุญาตให้ผู้มีอายุ 13–15 ปีใช้งานได้หากมีความยินยอมจากผู้ปกครอง
สหภาพยุโรปยังได้เสนอแผนห้ามฟีเจอร์ที่มีลักษณะเสพติด เช่น การเลื่อนดูแบบไม่มีที่สิ้นสุด (infinite scrolling) และการเล่นวิดีโออัตโนมัติ (auto-play) สำหรับผู้เยาว์ ซึ่งอาจนำไปสู่การบังคับใช้มาตรการทั่วทั้งสหภาพยุโรปต่อแพลตฟอร์มที่ไม่ปฏิบัติตาม
ที่มา CNBC