.
ทรัมป์ เปิดฉาก "สงครามเย็นใหม่" กับยุโรป ยุทธศาสตร์ความมั่นคงฉบับใหม่ชี้ EU คือ "ตัวร้ายทางภูมิรัฐศาสตร์"
12-12-2025
AXIOS รายงานว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยกับสหภาพยุโรป EU เปลี่ยนความขัดแย้งที่สั่งสมมายาวนานในประเด็นเสรีภาพในการแสดงออก สงครามยูเครน และการย้ายถิ่นขนาดใหญ่ ให้กลายเป็นนโยบายทางการอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรของสหรัฐฯ จุดปะทุล่าสุดคือกรณีที่สหภาพยุโรปสั่งปรับแพลตฟอร์ม X ของอีลอน มัสก์เป็นเงิน 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่รัฐบาลทรัมป์พร้อมจะใช้เป็นธงโจมตี และถูกตอกย้ำผ่านยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ ที่วาดภาพยุโรปในฐานะ “ตัวร้ายเชิงภูมิรัฐศาสตร์”
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับ Politico กล่าวหาว่าชาติยุโรปกำลัง “ทำลายประเทศของตัวเอง” พร้อมใช้คำว่า “เสื่อมถอย” และ “อ่อนแอ” เพื่อโจมตีผู้นำฝั่งยุโรป ความตึงเครียดนี้ยิ่งทวีคูณเมื่อสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรปมีจุดยืนแตกต่างกันมากขึ้นในเรื่องยูเครนและอนาคตความมั่นคงของยุโรป ทั้งในมิติการแบ่งภาระ ความต่อเนื่องของการสนับสนุน และข้อเสนอทางการเมืองต่อสงคราม
จุดปะทุ: ค่าปรับ X จุดไฟการเมืองสองฝั่ง
กรณีพิพาทเริ่มร้อนขึ้นเมื่อสหภาพยุโรปมีคำตัดสินลงโทษ X หลังหน่วยงานกำกับดูแลพบว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวหลอกลวงผู้ใช้ ปิดบังข้อมูลสำคัญด้านโฆษณา และปิดกั้นนักวิจัยไม่ให้เข้าถึงข้อมูลสาธารณะ อีลอน มัสก์ตอบโต้ทันทีด้วยการกล่าวหาว่า EU กำลังบั่นทอนเสรีภาพในการแสดงออกผ่าน “ระบอบราชการเผด็จการ” พร้อมปลุกกระแสออนไลน์ด้วยแฮชแท็ก #AbolishTheEU และได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้นำขวาจัดในยุโรปและมวลชนจำนวนมาก
ราดอสวาฟ ซิโกร์สกี (Radosław Sikorski) รัฐมนตรีต่างประเทศโปแลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ปกป้อง EU ที่แข็งกร้าว ตอบโต้มัสก์กลางกระแสโพสต์อย่างดุเดือดด้วยการประชดให้ “ไปอยู่ดาวอังคาร ที่นั่นไม่มีการเซ็นเซอร์การทำความเคารพนาซี” ฝั่งวอชิงตัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ รีบออกมาหนุนมัสก์ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) ระบุว่าค่าปรับครั้งนี้คือ “การโจมตีต่อแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอเมริกันและประชาชนอเมริกันทั้งหมด”
วงการการเมืองสหรัฐฯ ตอกย้ำภาพ “สงครามเย็นดิจิทัล”
รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ (J.D. Vance) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองสายต่อต้านยุโรปอย่างเปิดเผย กล่าวหาว่าค่าปรับของ EU เป็น “ขยะ” และเป็นผลจากการที่ X ไม่ยอมยอมรับ “การเซ็นเซอร์” ของยุโรป ขณะที่วุฒิสมาชิกเท็ด ครูซ (Ted Cruz) จากรัฐเทกซัส เรียกร้องให้ทรัมป์ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อ EU จนกว่าข้อพิพาทนี้จะถูกยกเลิก ซึ่งถือเป็นการยกระดับที่ปกติสงวนไว้ใช้กับคู่ปรปักษ์ของสหรัฐฯ ไม่ใช่พันธมิตร
ความขัดแย้งที่ดูเหมือนเป็นเพียงข้อพิพาทด้านแพลตฟอร์มออนไลน์ จึงกลายเป็นต้นแบบของ “สงครามเย็นดิจิทัล” ระหว่างสองค่ายคือ ฝั่งที่อ้างปกป้องเสรีภาพการพูดแบบไร้กรอบ กับฝั่งที่ยืนยันการกำกับดูแลแพลตฟอร์มเพื่อปกป้องประชาธิปไตยและผู้บริโภค
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงใหม่ของทรัมป์ ตั้ง EU เป็นฝ่ายตรงข้ามเชิงโครงสร้าง
หากมองในภาพกว้าง ความขัดแย้งเรื่อง X สะท้อนมุมมองเชิงยุทธศาสตร์ของทำเนียบขาวยุคทรัมป์ที่ถูกระบุชัดในยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ ซึ่งกล่าวหาสหภาพยุโรปว่าดำเนิน “การทำให้หายใจไม่ออกด้วยกฎระเบียบ” (regulatory suffocation) และ “บ่อนทำลายกระบวนการประชาธิปไตย” แก่นกลางของข้อกล่าวหาคือประเด็นผู้อพยพและการย้ายถิ่นขนาดใหญ่ โดยฝ่ายทรัมป์โจมตีว่า “ชนชั้นนำยุโรป” เปิดพรมแดนจนเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร และใช้กฎหมายควบคุมคำพูดเพื่อปิดปากฝ่ายที่ออกมาเตือนถึงผลกระทบ
ในเวทีความมั่นคงมิวนิก (Munich Security Conference) ก่อนหน้านี้ มัสก์และแวนซ์ได้ปูทางประเด็นนี้ไว้แล้วผ่านสุนทรพจน์โจมตีแนวทางของผู้นำยุโรป และแสดงท่าทีสนับสนุนพรรคขวาจัดในยุโรป เช่น พรรค AfD ของเยอรมนี แนวโน้มแทรกแซงการเมืองภายในของแต่ละประเทศสมาชิก EU ในลักษณะนี้ถูกบรรจุลงอย่างเป็นทางการในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของทรัมป์ โดยใช้คำว่า “ปลูกฝังการต่อต้าน” (cultivating resistance) ภายในประเทศสมาชิก EU เพื่อรับมือสิ่งที่ทำเนียบขาวมองว่าเป็น “การลบเลือนอารยธรรมยุโรป”
ยุโรปโต้กลับ มองเป็น “การประกาศสงครามการเมือง”
ชาร์ล มีแชล คนก่อน? (ต้นฉบับใช้ชื่อประธานสภายุโรป อันโตนีโอ คอสตา – Antonio Costa) ในฐานะประธานสภายุโรป ให้ความเห็นว่า “ชาวยุโรปมีวิสัยทัศน์ที่ต่างจากชาวอเมริกันในหลายประเด็น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ยอมรับไม่ได้คือการคุกคามจะแทรกแซงชีวิตประชาธิปไตยของยุโรป” ขณะที่โยเซฟ บอเรลล์ (Josep Borrell) อดีตผู้แทนระดับสูงด้านการต่างประเทศและนโยบายความมั่นคงของ EU ใช้น้ำเสียงรุนแรงกว่านั้น โดยเรียกยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ของทรัมป์ว่า “การประกาศสงครามทางการเมืองต่อสหภาพยุโรป”
บอเรลล์กล่าวหาว่าทรัมป์ต้องการ “ยุโรปขาว” ที่ถูกแบ่งแยกออกเป็นรัฐชาติย่อย ๆ ที่อยู่ใต้คำสั่งและความต้องการทางการเมืองของเขา พร้อมเรียกร้องให้ผู้นำยุโรป “เลิกแกล้งทำเป็นว่า ทรัมป์ไม่ใช่คู่ปรปักษ์ของเรา” ท่าทีนี้สะท้อนความวิตกภายในยุโรปว่า ความสัมพันธ์ข้ามแอตแลนติกกำลังเคลื่อนจากความไม่ลงรอยเชิงนโยบาย ไปสู่การเผชิญหน้าทางอัตลักษณ์และอุดมการณ์
ทรัมป์เขย่าฐานราก NATO และบทบาทยุโรป
ในส่วนลึกของยุทธศาสตร์ความมั่นคงใหม่ รัฐบาลทรัมป์ตั้งคำถามว่าชาติสมาชิก EU บางประเทศยังจะเป็นพันธมิตร NATO ที่ “เชื่อถือได้” ได้หรือไม่ ภายใต้บริบทการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและการย้ายถิ่น เอกสารดังกล่าวยังประกาศยุติ “การรับรู้” ว่า NATO เป็น พันธมิตรที่สามารถขยายตัวไปเรื่อย ๆ โดยนัยคือการลดเพดานความทะเยอทะยานของ NATO และลดบทบาทยุโรปในกรอบพันธมิตรนี้
ด้านรัสเซียแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าพึงพอใจกับรอยร้าวข้ามแอตแลนติกที่กำลังขยายตัว โฆษกเครมลิน ดมิทรี เพสคอฟ (Dmitry Peskov) ระบุว่า “การปรับตัวที่กำลังเกิดขึ้น…สอดคล้องกับมุมมองของเรามากเป็นพิเศษ” สำหรับมอสโก การที่วอชิงตันตั้งคำถามต่อบทบาทและความแข็งแรงของยุโรปใน NATO ย่อมเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ในการลดแรงกดดันทางทหารและการเมืองจากฝั่งตะวันตก
ผลสะเทือนต่อยูเครนและระเบียบโลกหลังสงคราม
ผลที่ตามมาจาก “สงครามเย็นใหม่” ระหว่างทรัมป์กับยุโรปมีนัยสำคัญในจังหวะที่เปราะบางต่อยุโรปอย่างยิ่ง ผู้นำฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร เดินทางพบปะประธานาธิบดียูเครน วโลดิมีร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelensky) ที่ลอนดอน ท่ามกลางความกังวลว่าทรัมป์อาจผลักดันข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซียในเงื่อนไขที่ยุโรปไม่อาจยอมรับได้
การที่ทำเนียบขาวมองว่าความคาดหวังของยุโรปต่อสงครามยูเครนเป็น “ความเพ้อฝันที่ไม่สอดคล้องความจริง” ยิ่งตอกย้ำความหวั่นวิตกว่าทวีปยุโรปอาจถูกกันออกจากวงเจรจาว่าด้วยความมั่นคงของตัวเอง เมื่อผนวกเข้ากับความขัดแย้งเชิงโครงสร้างด้านเสรีภาพการแสดงออก การย้ายถิ่น และบทบาทของ EU ในระเบียบโลกหลังสงคราม ภาพรวมจึงใกล้เคียงกับ “สงครามเย็น” ยุคใหม่ ที่คู่ขัดแย้งไม่ใช่เพียงสหรัฐฯ กับรัสเซียหรือจีน แต่รวมถึงความแตกแยกภายในค่ายตะวันตกเองด้วย
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.axios.com/2025/12/10/trump-europe-x-fine-ukraine-cold-war?utm_source=x&utm_campaign=editorial&utm_medium=organic_social&utm_social_handle_id=800707492346925056&utm_social_post_id=619334426