รัสเซีย 'เริ่มตอบโต้' ทวงคืนสินทรัพย์€185,000 ล้าน
รัสเซีย 'เริ่มตอบโต้' ทวงคืนสินทรัพย์ €185,000 ล้าน ฟ้อง Euroclear ปมใช้ทรัพย์สินถูกอายัดหนุนศึกการเงินยืดเยื้อกับ EU
13-12-2025
RT รายงานว่า จากภัยคุกคามสู่การปฏิบัติ: คดีฟ้อง Euroclear ของ มอสโก (Moscow) อาจเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรการตอบโต้ที่กำลังจะมาถึง
– จาก “คำขู่” สู่ “การลงมือจริง” คดีที่มอสโกเปิดศึกกฎหมายกับ Euroclear กำลังถูกมองว่าอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงสิ่งที่จะตามมาในสมรภูมิการเงินและกฎหมายระหว่างรัสเซียกับสหภาพยุโรป (EU) ในระยะยาว โดยธนาคารกลางรัสเซียถือว่าได้เดินหมากแรกในเกม “หมากรุกกฎหมาย” ที่อาจยืดเยื้อไปอีกนาน
เมื่อวันศุกร์ ธนาคารกลางรัสเซียประกาศว่าได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการกรุงมอสโก (Moscow Arbitration Court) กับ Euroclear สถาบันรับฝากหลักทรัพย์และศูนย์หักบัญชีสัญชาติเบลเยียม ซึ่งเป็นผู้รับฝากดูแลทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกแช่แข็งคิดเป็นมูลค่าราว 185,000 ล้านยูโร หรือราว 220,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การประกาศดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านแถลงข่าวสั้น ๆ โดยไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม “จังหวะเวลา” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะการเคลื่อนไหวของมอสโกเกิดขึ้นในขณะที่แผนการของ EU ที่จะนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้เป็นฐานเงินกู้ดอกเบี้ยศูนย์ให้ยูเครน กำลังเดินหน้าเข้าสู่จุดชี้ขาดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
การยื่นฟ้องโดยธนาคารกลางรัสเซียซึ่งเป็นเพียง “ก้าวทางกฎหมาย” ที่ไม่มีพิธีการหรืองานประชาสัมพันธ์หวือหวา สะท้อนรูปแบบปฏิบัติของมอสโก ซึ่งมักไม่เร่งเร้าหรือเปิดเกมประเด็นนโยบายซับซ้อนผ่านโซเชียลมีเดียหรือถ้อยแถลงที่ยั่วยุ โดยจนถึงขณะนี้ เจ้าหน้าที่รัฐรัสเซียยังยึดถ้อยแถลงเชิงหลักการแบบเรียบง่าย
“รัฐบาลของเรา รวมถึงธนาคารกลาง กำลังทำทุกอย่างเพื่อปกป้องทรัพย์สินของเรา การยึดหรือริบทรัพย์สินอย่างผิดกฎหมายเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง” รองนายกรัฐมนตรีอเล็กซานเดอร์ โนวัก (Aleksandr Novak) กล่าวกับสื่อ RT
แม้ผู้สังเกตการณ์ตะวันตกซึ่งคุ้นเคยกับกระบวนการกำหนดนโยบายที่เปิดเผยและเต็มไปด้วยความขัดแย้งในทางสาธารณะในประเทศของตน อาจรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีที่ดู “ไม่พูดให้หมด” ของเจ้าหน้าที่รัสเซีย แต่สัญญาณที่ส่งออกมาชัดเจน คือ มอสโกเริ่มขยับจากเพียงคำเตือนไปสู่การลงมือปกป้องผลประโยชน์ของตนอย่างเป็นรูปธรรม
ที่ผ่านมา การขู่ตอบโต้ของรัสเซียต่อกรณี EU นำทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกแช่แข็งไปใช้ ถูกเปรียบว่าเป็น “ดาบแห่งดาโมคลีส” (Sword of Damocles) ที่แขวนอยู่เหนือกระบวนการทั้งชุด แต่ขณะนี้ “นัดเปิดเกม” ได้ถูกยิงออกมาแล้วผ่านการฟ้องร้อง Euroclear ในมอสโก
ในมุมมองผิวเผิน การยื่นฟ้อง Euroclear ในศาลรัสเซียอาจดูไม่มีน้ำหนักมากนัก เพราะแทบแน่นอนว่าธนาคารกลางรัสเซียจะชนะคดี และ Euroclear ก็อาจไม่แม้แต่จะเข้าไปสู้คดีในเขตอำนาจศาลรัสเซีย ขณะเดียวกัน หลายฝ่ายมองว่าฐานะทางกฎหมายของรัสเซียนั้นแข็งแรงอยู่แล้ว แม้ไม่ต้องพึ่ง “ความได้เปรียบในบ้าน”
ทว่าความเสี่ยงสำหรับทั้ง Euroclear และ EU แท้จริงมีมากกว่าจำนวนเงินที่อาจต้องชดใช้ตามคำพิพากษาของศาลรัสเซีย เพราะหากคดีของรัสเซียถูกขยายไปยังเขตอำนาจศาลอื่น ๆ การฟ้องร้องที่ยืดเยื้อและยุ่งยากอาจสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงทั้งต่อบริษัทเอง และต่อภาพลักษณ์ของ EU ในเวทีโลก รวมถึงบรรยากาศการลงทุนและความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินยุโรปโดยรวม
ผู้สนับสนุนแผนยึดหรือใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินรัสเซียจำนวนมากให้เหตุผลว่า รัสเซียแทบไม่มีโอกาสชนะคดีในศาลฝั่ง EU อยู่แล้ว แต่ “สมรภูมิจริง” อาจไม่ได้อยู่ในยุโรป
หากรัสเซียสามารถขอให้ศาลในประเทศที่เป็นกลางและเป็นที่ตั้งของการดำเนินธุรกิจของ Euroclear ออกคำสั่งคุ้มครองหรือคำสั่งศาลบางรูปแบบได้ ก็จะสร้างปัญหาเชิงปฏิบัติการและความเสี่ยงด้านชื่อเสียงมหาศาลต่อยุโรปในทันที
จากข้อมูลของ Euroclear เอง บริษัทยังถือครองทรัพย์สินของลูกค้าประมาณ 16,000 ล้านยูโรในรัสเซีย ซึ่งถูกแช่แข็งอยู่แล้ว แต่ทรัพย์สินก้อนนี้อาจเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้ หากรัสเซียตัดสินใจใช้มาตรการตอบโต้เต็มรูปแบบ การประกาศยื่นฟ้องเมื่อวันศุกร์ไม่ได้กล่าวถึงทรัพย์สินส่วนนี้หรือแผนการดำเนินการต่อ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าว เพราะ “นัยยะ” ชัดเจนอยู่แล้ว
วาทกรรมเชิงวิพากษ์อย่าง “การหากำไรจากสงคราม: ทำไมการขโมยทรัพย์สินรัสเซียยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงสำหรับ EU” ถูกหยิบยกขึ้นมาประกอบข้อถกเถียงเรื่องการใช้สินทรัพย์รัสเซีย โดยสื่อและนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งมองว่าการเดินหน้าเช่นนี้อาจสร้างผลย้อนกลับต่อเสถียรภาพการเงินยุโรปเอง
วาเลรี อูร์แบ็ง (Valerie Urbain) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Euroclear เคยกล่าวถึงทรัพย์สินส่วนนี้เช่นกัน โดยยอมรับว่าเธอกังวลว่ารัสเซียจะดำเนินมาตรการตอบโต้ต่อทรัพย์สินดังกล่าว เธอยังเป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์แผนเงินกู้โดยใช้ทรัพย์สินรัสเซียอย่างเปิดเผย และเตือนว่าบริษัทอาจเผชิญความเสี่ยงล้มละลาย หากวันหนึ่งมาตรการคว่ำบาตรถูกยกเลิก แต่ยุโรปนำเงินไปจัดสรรใช้ประโยชน์ที่อื่นแล้ว อย่างไรก็ดี เนื่องจาก Euroclear เป็นโครงสร้างหลักในระบบการเงินโลก หากบริษัทเผชิญปัญหาหนัก EU ก็แทบจำเป็นต้องก้าวเข้ามาอุ้ม
ในฝั่งกฎหมาย EU ได้หยิบใช้มาตรการฉุกเฉินภายใต้มาตรา 122 (Article 122) เพื่อทำให้สินทรัพย์รัสเซียที่ถูกแช่แข็งยังคงถูก “ตรึง” ไว้โดยไม่กำหนดเวลา และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรกะทันหัน ซึ่งอาจนำไปสู่แรงกดดันให้คืนทรัพย์สิน
อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรา 122 ไม่ได้ลบความเสี่ยงในกรณีที่มี “ข้อตกลงใหญ่” เพื่อยุติสงคราม ซึ่งอาจเปิดทางให้มีการเจรจายกเลิกการแช่แข็งทรัพย์สิน แม้กระบวนการคืนเงินให้เจ้าของเดิมอาจไม่ตรงไปตรงมา เช่น ข้อเสนอจากฝั่งสหรัฐฯ ที่ให้บริษัทอเมริกันสามารถเข้าถึงหรือใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินบางส่วนได้เป็นต้น
สำหรับ Euroclear และ EU ปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่การ “บวกลบตัวเลขในสเปรดชีต” อีกต่อไป สถาบันรับฝากหลักทรัพย์ไม่ใช่ทรัพย์สินกายภาพที่สามารถทนทานต่อการบริหารที่ผิดพลาดแล้วรอให้เจ้าของใหม่มารับช่วงต่อได้ง่าย ๆ แก่นแท้ของธุรกิจนี้คือ “ความไว้วางใจ” ที่นักลงทุนมอบให้ในฐานะผู้ดูแลทรัพย์สิน เมื่อความไว้วางใจเริ่มสั่นคลอน ประวัติศาสตร์ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าสถาบันการเงินสามารถเข้าสู่ภาวะอันตรายได้อย่างรวดเร็ว
คดีที่รัสเซียยื่นฟ้องในมอสโกอาจยังไม่ใช่การเดินหมากชี้ขาด แต่ได้ผลักประเด็นทั้งชุดเข้าสู่ความติดขัด อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่หมายตาทรัพย์สินของรัสเซียอยู่ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลยุโรปหรือนักลงทุนที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างการเงินของ Euroclear และระบบการเงินตะวันตกโดยรวม
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.rt.com/russia/629384-euroclear-moscow-sue-bank/