.
ภาพรวมภูมิรัฐศาสตร์โลกสัปดาห์นี้: ศึกชายแดนไทย–กัมพูชา–ยูเครนยุติแผนเข้า NATO–สหรัฐฯ เพิ่มแรงกดดันเวเนซุเอลา
16-12-2025
รายงาน “Geopolitics Weekly” สัปดาห์นี้จับตาการปะทุของความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ลุกลามจนรัฐบาลผสมในกรุงเทพฯ ล่มกลางทาง พร้อมกับการเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในการยึดเรือบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลาและขนส่งอาวุธไปอิหร่าน และการเปลี่ยนจุดยืนสำคัญของยูเครนที่ยอมถอยจากเป้าหมายเข้าเป็นสมาชิก NATO เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาสันติภาพในกรุงเบอร์ลิน
### ไทย–กัมพูชาปะทุรุนแรง รัฐบาลผสมไทยล่มกลางวิกฤต
ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาปะทุรอบใหม่
ต่างจากเหตุปะทะในเดือนกรกฎาคมซึ่งจำกัดวงบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร การสู้รบรอบล่าสุดกระจายตัวกว้างไปหลายจังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ (จุดตั้งอยู่ของปราสาทพระวิหาร) สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี มีรายงานการใช้โจมตีทางอากาศและยิงปืนใหญ่หนักตามแนวชายแดน ขณะที่จังหวัดตราดซึ่งเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ยังมีเขตแดนทางทะเลไม่ชัดเจนและเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมก็มีรายงานปฏิบัติการทางอากาศและทางเรือด้วย การสู้รบที่กระจายตัวเช่นนี้ทำให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ โดยมีประชาชนอย่างน้อยราว 800,000 คนต้องหลบหนีออกจากพื้นที่ชายแดน ตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการคาดว่าจะถูกปรับเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป
วิกฤตชายแดนปะทุขึ้นพร้อมกับวิกฤตการเมืองภายใน เมื่อรัฐบาลผสมไทยอายุเพียงราวสามเดือนภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ตัดสินใจยุบรัฐบาลและเตรียมจัดการเลือกตั้งใหม่ หลังพรรคแนวร่วมสำคัญคือพรรคประชาชน (People’s Party) เตรียมถอนการสนับสนุน สาเหตุหลักคือความไม่พอใจที่นายกรัฐมนตรีหันไปยืนข้างกลุ่มอนุรักษนิยมในการปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับปี 2017 ที่ร่างโดยคณะทหาร ซึ่งขัดกับข้อตกลงเดิมของรัฐบาลผสมที่ระบุว่าจะผลักดันการปฏิรูปแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ในมุมวิเคราะห์ การยุบสภาถูกมองว่าเป็นการเดินหมากเชิงรุกของผู้นำรัฐบาลมากกว่าการถูกบีบให้ถอย เนื่องจากความต่างทางอุดมการณ์ระหว่างพรรคร่วมเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่อเค้าความแตกแยกมาโดยตลอด ทางเลือกหนึ่งที่ถูกตีความคือ การใช้กระแสชาตินิยมท่ามกลางความตึงเครียดชายแดนกับกัมพูชาเป็นฐานระดมคะแนนเสียงหวังกลับมามีอำนาจที่แข็งแกร่งกว่าเดิมในรัฐสภา โดยมีบทเรียนจากอดีตว่าอดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เคยเสียตำแหน่งจากการถูกมองว่า “อ่อนข้อเกินไป” ในประเด็นชายแดน
ถ้อยแถลงของนายอนุทินที่ประกาศ “คืนอำนาจให้ประชาชน” การปฏิเสธการไกล่เกลี่ยจากภายนอกตั้งแต่เนิ่น ๆ และการปัดข้อเสนอเข้ามามีบทบาทของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ในการกลับมาช่วยกระบวนการสันติภาพ ต่างถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์นี้ อย่างไรก็ดี สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการเมืองไทยกลับเข้าสู่ความไม่แน่นอนอีกครั้ง โดยความขัดแย้งชายแดนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มผู้ท้าชิงอำนาจใน “เกมอำนาจกรุงเทพฯ” รอบใหม่
นักวิเคราะห์ยังชี้ว่า สงครามชายแดนไทย–กัมพูชาแสดงให้เห็นข้อจำกัดของแนวทางการทูตเชิง “ทรานแซกชัน” ของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งมักอาศัยพลังเศรษฐกิจและการทหารเป็น “ไม้แข็ง–ไม้ละมุน” บีบให้คู่กรณีประพฤติตาม แต่กรณีนี้สะท้อนว่าความสำคัญของปัญหาสำหรับคู่ขัดแย้งกับความสำคัญในสายตาวอชิงตันห่างกันมาก สำหรับไทยและกัมพูชา ข้อพิพาทชายแดนเป็นเรื่อง “ศักดิ์ศรีเชิงอารยธรรม” ที่หมักหมมมานานและเป็นประเด็นที่คนพร้อมเสี่ยงชีวิต ขณะที่สำหรับสหรัฐฯ เป็นเพียงข่าวย่อยในวัฏจักรสื่อ
กรอบสันติภาพที่รัฐบาลทรัมป์ใช้ในพื้นที่อื่น เช่น กาซา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) หรือชายแดนไทย–กัมพูชาเอง ก็ถูกวิจารณ์ว่ามีลักษณะ “สั่งจากบนลงล่าง” ขาดกลไกสถาบันด้านการจัดการความขัดแย้งที่จับต้องได้ ซึ่งเป็นส่วนที่ยากที่สุดของการสร้างสันติภาพ ทั้งที่กลไกเช่นนี้มีบทบาทเหมือน “ระบบกันชนความเสี่ยง” สามารถช่วยลดระดับการปะทะเฉียบพลันอย่างกรณีกับระเบิดจนไม่ลุกลามสู่สงครามเต็มรูปแบบ รอบล่าสุดทั้งสองฝ่ายจึงเดินหน้าปฏิบัติการโดยแทบไม่สนใจหรือให้ความสำคัญกับความพยายามของทรัมป์ที่จะหวนคืนบทบาทตัวกลางในกระบวนการสันติภาพ
### สหรัฐฯ ยึดเรือบรรทุกน้ำมันเวเนซุเอลา–เรือสินค้าจีนขนชิ้นส่วนอาวุธไปอิหร่าน
ในซีกโลกตะวันตก กองทัพสหรัฐฯ ยึดเรือบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลาลำหนึ่งในทะเลแคริบเบียนเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พร้อมส่งสัญญาณว่าการยึดเรือเช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าเรือลำดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ “กองเรือเงา” (shadow fleet) ที่ช่วยกองกำลัง Islamic Revolutionary Guard Corps (IRGC) ของอิหร่านหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร
ขณะเดียวกันมีรายงานจาก Wall Street Journal ว่าเมื่อเดือนก่อนเกิดเหตุสกัดเรืออีกลำหนึ่งในมหาสมุทรอินเดีย กำลังเดินทางจากจีนไปอิหร่านบรรทุก “ชิ้นส่วนอาวุธที่ไม่ระบุรายละเอียด” โดยสหรัฐฯ ยึดและทำลายสินค้าทางทหารทั้งหมด ก่อนปล่อยตัวเรือไป
ทั้งสองกรณีสะท้อนตรรกะเชิงยุทธศาสตร์ที่ต่างกัน สำหรับเวเนซุเอลา จุดประสงค์หลักคือการตัดท่อน้ำเลี้ยงแหล่งรายได้รองรับระบอบการเมืองที่ยังพึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลัก ส่วนในกรณีอิหร่าน เป้าหมายคือการสกัดไม่ให้เตรียมสะสมคลังขีปนาวุธสำหรับความขัดแย้งรอบใหม่กับอิสราเอล แต่สิ่งที่น่าจับตาคือ “วิธีการ” คือการสกัดและยึดเรือในทะเล
การใช้มาตรการเช่นนี้สะท้อนประสิทธิภาพที่ลดลงของมาตรการคว่ำบาตรในรูปแบบเดิม ในอดีต เช่นเมื่อราวห้าปีก่อน สหรัฐฯ เคยสั่งยึดสินค้าบนเรือบรรทุกน้ำมัน 4 ลำที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายต้องห้ามกับอิหร่านได้โดยไม่ต้องใช้ปฏิบัติการทางทหาร เพราะสามารถใช้กลไกทางกฎหมายร่วมกับเจ้าของเรือและผู้รับประกันภัยในโลกตะวันตกที่ยินยอมปฏิบัติตามกฎคว่ำบาตรโดยสมัครใจ
แต่หลังสงครามยูเครนและการก่อตัวของ “กองเรือเงา” ที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นระบบเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร การปฏิบัติตามกติกาโดยสมัครใจเริ่มหดตัว ทำให้การบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรในบางกรณีต้องเปลี่ยนมาใช้ “อำนาจแข็ง” ผ่านการยิงเตือน เข้าตรวจค้น และยึด–ทำลายสินค้ากลางทะเล ซึ่งเพิ่มทั้งต้นทุนการลาดตระเวนและความเสี่ยงด้านการยกระดับความขัดแย้งหากปฏิบัติการผิดพลาด
ในกรณีเวเนซุเอลา การสกัดเรือกลางทะเลเป็นเครื่องมือรัฐศาสตร์ที่เหมาะสมกว่าเมื่อเทียบกับอิหร่าน เพราะอยู่ใกล้สหรัฐฯ มากกว่า มีชายฝั่งสั้นกว่า ไม่มีกองทัพเรือที่เป็นภัยคุกคามโดยตรง และบริบทภูมิภาคไม่เปราะบางเท่า จึงมีแนวโน้มสูงว่ามาตรการอาจค่อย ๆ พัฒนาไปสู่ “แนวปิดล้อมเชิงไม่เป็นทางการ” หากสหรัฐฯ ยกระดับการปฏิบัติงานต่อเนื่อง ซึ่งจะกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจเวเนซุเอลาที่พึ่งรายได้จากน้ำมันเป็นหลัก
ทิศทางนี้สอดคล้องกับแนวทางโดยรวมของรัฐบาลทรัมป์ที่ใช้การแสดงพลังแข็งกร้าวในเชิงภาพลักษณ์ (เช่น ภาพเรือบรรทุกน้ำมันถูกยึดในแคริบเบียน) ควบคู่กับการระมัดระวังไม่ดันสถานการณ์ให้ลุกลามสู่สงครามเต็มรูปแบบ กระนั้น ความเคลื่อนไหวนี้ก็เปิดคำถามชุดใหม่ เช่น รัสเซีย คิวบา หรือจีนจะเข้ามาช่วยเวเนซุเอลาอย่างไร ความเสี่ยงการปะทะทางทหารกับรัฐบาลประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร (Nicolás Maduro) จะเพิ่มขึ้นหรือไม่ และสหรัฐฯ สามารถแบกต้นทุนการ “ตำรวจทางทะเล” ระยะยาวได้เพียงใด
### แคนาดาฟื้นดุลการค้าแม้โดนภาษีสหรัฐฯ บีบ
ในทวีปอเมริกาเหนือ ตัวเลขการค้าของแคนาดาในเดือนกันยายนระบุว่า ดุลการค้าเปลี่ยนจากขาดดุล 6.4 พันล้านดอลลาร์แคนาดาในเดือนสิงหาคมมาเป็นเกินดุลเล็กน้อย 153 ล้านดอลลาร์ การส่งออกกระโดดขึ้น 6.3% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนสูงสุดนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2024 ช่วยชดเชยแรงตกต่ำก่อนหน้านี้ที่เกิดหลังการเก็บภาษีสหรัฐฯ มีผลในเดือนมีนาคม
การเติบโตรอบนี้นำโดยการส่งออกโลหะและแร่ธาตุอโลหะ พลังงาน และชิ้นส่วนอากาศยานและอุปกรณ์ขนส่ง แม้การค้าส่วนใหญ่ระหว่างสหรัฐฯ–แคนาดายังคงได้รับการคุ้มครองภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี CUSMA แต่รัฐบาลทรัมป์ได้ขึ้นภาษีกับหลายสินค้าที่อยู่นอกกรอบ CUSMA เช่น รถยนต์ (25%) อะลูมิเนียม (50%) เหล็ก (25%) ทองแดง (50%) เฟอร์นิเจอร์ (25–30%) และไม้นำเข้า (35%)
ข้อมูลดังกล่าวถือเป็นข่าวดีต่อรัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ (Mark Carney) ที่ได้อำนาจจากกระแสกังวลเรื่องการใช้อำนาจกดดันของสหรัฐฯ ทางการเมืองและเศรษฐกิจ การ “กระจายความเสี่ยงทางการค้า” จึงเป็นธีมหลักในนโยบายและการสื่อสารของรัฐบาลนี้ อย่างไรก็ตาม ในเดือนกันยายน การส่งออกไปสหรัฐฯ เองกลับเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยดุลการค้าระหว่างกันขยายตัวขึ้น 44% จากการส่งออกอากาศยาน รถกระบะ และทองคำที่เพิ่มสูง
สัญญาณของการกระจายตลาดยังคงมีอยู่เช่นกัน โดยมูลค่าส่งออกไปปลายทางนอกสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 11% โดยเฉพาะไปยังสวิตเซอร์แลนด์ (ทองคำ) เยอรมนี (น้ำมันดิบ) และสิงคโปร์ (น้ำมันดิบและอากาศยาน) โดยรวมแล้วสหรัฐฯ ยังเป็นตลาดปลายทางถึงราว 71% ของการส่งออกทั้งหมดของแคนาดา แม้ลดลงจากค่าเฉลี่ยปี 2024 ที่ราว 75.9%
หากแนวโน้มนี้ยืดเยื้อ จะสามารถแปรเป็นทุนทางการเมืองทั้งในเวทีภายในประเทศและโต๊ะเจรจาอนาคตของ CUSMA แต่ด้วยขนาดและความใกล้ชิดของตลาดสหรัฐฯ บทเรียนสำคัญคือ การกระจายตลาดเป็นไปได้เพียงบางส่วนและค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น
### ยูเครนถอยจากเป้าหมายเข้า NATO เพื่อดันดีลสันติภาพเบอร์ลิน
ในยุโรป ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelensky) ของยูเครนตกลงยุติการยืนยันเป้าหมายการเข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO ในกรอบการเจรจาสันติภาพที่กรุงเบอร์ลิน เพื่อหวังผลักดันการเจรจาให้เดินหน้าต่อ
ในเชิงสัญลักษณ์ การถอยจากเป้าหมายการเป็นสมาชิก NATO มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการเข้าร่วม NATO ถูกวางไว้ในฐานะ “เข็มทิศเชิงยุทธศาสตร์” ของยูเครนที่ต้องการหันเหออกจากอิทธิพลมอสโกไปผูกโยงกับบรัสเซลส์และระเบียบความมั่นคงตะวันตก และเป็นประเด็นที่ผุดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเวทีการเมืองยูเครนตลอดหลายทศวรรษ
สำหรับรัสเซีย การถอด “เงา NATO” ออกจากเป้าหมายระยะยาวของยูเครนอาจลดน้ำหนักข้ออ้างสำคัญที่ถูกใช้ในการยืดสงคราม อย่างไรก็ดี ในเชิงโครงสร้าง ความต้องการหลักของยูเครนยังคงเดิมคือ หลักประกันความมั่นคงที่แข็งแรงพอจะยับยั้งการรุกรานซ้ำในอนาคต ขณะที่การเป็นสมาชิก NATO เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น
คำถามสำคัญในการเจรจาจึงอยู่ที่ว่า กลไกหรือกรอบคำมั่นสัญญาใดจากภายนอกจะมีน้ำหนักมากพอในทางปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นชุดหลักประกันทวิภาคีหรือพหุภาคีจากกลุ่มประเทศที่พร้อมให้การสนับสนุน (Coalition of the Willing) ความผูกพันแบบใดก็ยากจะมีสถานะเทียบเท่าหลักการป้องกันร่วมตามมาตรา 5 ของ NATO และมีแนวโน้มที่จะผูกโยงกับเจตจำนงทางการเมืองของประเทศผู้ให้หลักประกันมากกว่าข้อผูกพันอัตโนมัติในกรณีเกิดเหตุ
ดังนั้น ในระยะถัดไป การออกแบบรายละเอียดและความแข็งแรงของระบบหลักประกันความมั่นคงที่จะมาแทนเป้าหมายการเป็นสมาชิก NATO จึงเป็นโจทย์หลักของคณะเจรจายูเครน ในขณะที่ทุกฝ่ายพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้การยอมถอยในประเด็นหนึ่งกลายเป็นจุดอ่อนเปิดทางให้เกิดข้อพิพาทใหม่ในอนาคต
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.geopoliticalmonitor.com/geopolitics-weekly-thai-cambodia-conflict-venezuela-oil-tanker-ukraine-nato/