.
ทำไม ‘ทองคำ’ ยังเรืองรองเหนือสินทรัพย์ดิจิทัล? และถูกมองเป็นเกราะคุ้มกันสุดท้ายในโลกการเงินที่ผันผวน
19-12-2025
IMF เผยแพร่บทวิเคราะห์ วิเคราะห์เชิงลึก: 'อมตะแห่งทองคำ': ทำไมโลหะสีเหลืองยังคงเป็นราชาแห่งสินทรัพย์ ท่ามกลางกระแสการเงินดิจิทัลและ AI โดยย้อนหลังว่า เป็นเวลากว่า 5,000 ปีที่มนุษยชาติถูกสะกดด้วย "ทองคำ" โลหะที่ไม่เสื่อมสลายซึ่งเคยประดับในวิหารและมงกุฎของจักรพรรดิ แต่ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยสกุลเงินคริปโต (Crypto Assets), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ ทำไมทองคำยังคงรักษาคุณค่าไว้ได้อย่างมั่นคง?
รากฐานแห่งความเชื่อมั่นและประวัติศาสตร์การเงิน
คุณค่าของทองคำไม่ได้เริ่มต้นจากทฤษฎีการเงินสมัยใหม่ แต่เริ่มจากชาวลิเดีย (Lydians) ที่ริเริ่มการผลิตเหรียญทองคำในช่วงศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล ต่อเนื่องมาถึงศตวรรษที่ 19 ที่ทองคำกลายเป็นเสาหลักของระบบการเงินโลกภายใต้ "มาตรฐานทองคำ" (Gold Standard) ก่อนที่ประธานาธิบดี Richard Nixon (ริชาร์ด นิกสัน) จะประกาศระงับการแลกเปลี่ยนดอลลาร์เป็นทองคำในปี 1971 เปลี่ยนโลกสู่ยุคเงินเฟียต (Fiat Money) ที่หนุนหลังด้วยความเชื่อมั่นเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้กลับทำให้ทองคำทวีความสำคัญในฐานะ "สินทรัพย์หลบภัย" (Investment Refuge) โดยเฉพาะในยามวิกฤต เช่น วิกฤตน้ำมันปี 1970, วิกฤตการเงินปี 2008 และล่าสุดในช่วงการระบาดใหญ่ปี 2020 จนถึงปรากฏการณ์ราคาพุ่งทะยานกว่าร้อยละ 40 ในปี 2025 ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นรายปีที่สูงสุดนับตั้งแต่ปี 1979
เกราะคุ้มกันความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
ในยุคปัจจุบัน ทองคำได้กลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะใน China, India, Turkey และ Poland ที่มีการเข้าซื้อทองคำรวมกันมากกว่า 1,100 ตัน เพื่อกระจายความเสี่ยงจากดอลลาร์สหรัฐฯ (US Dollar) ทองคำมีความเป็นกลางทางเมือง (Neutrality) และไม่มี "ความเสี่ยงจากคู่สัญญา" (Counterparty Risk) ทำให้มันเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลกที่กำลังแตกแยกเป็นหลายขั้วอำนาจ
ทองคำ vs สินทรัพย์ดิจิทัล: บทพิสูจน์แห่งเวลา
แม้ว่า Bitcoin (บิทคอยน์) จะถูกขนานนามว่าเป็น "ทองคำดิจิทัล" จากการจำกัดอุปทานด้วยอัลกอริทึม แต่ทองคำยังคงมีความได้เปรียบในแง่ของกายภาพและความไว้วางใจที่สั่งสมมานับพันปี ในขณะที่สินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูงและต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ทองคำกลับเป็นความจริงที่จับต้องได้และภูมิคุ้มกันต่อความล้มเหลวของรหัสคอมพิวเตอร์หรือกฎระเบียบสั่งห้ามของรัฐบาล
มิติทางเศรษฐกิจและจิตวิทยา
ในเชิงเศรษฐศาสตร์ คุณค่าของทองคำมาจาก 3 ลักษณะเด่น คือ ความหายาก (Scarcity), ความทนทาน (Durability) และ ความเชื่อมั่น (Trust) ปริมาณทองคำที่ขุดขึ้นมาใหม่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.5 ต่อปี ซึ่งช้ากว่าการเติบโตของปริมาณเงินอย่างมาก ดังที่ Robert Mundell (โรเบิร์ต มันเดลล์) นักเศรษฐศาสตร์ผู้ล่วงลับเคยกล่าวไว้ว่า "ทองคำคงอยู่ไม่ใช่เพราะประโยชน์ใช้สอย แต่เป็นเพราะความเชื่อมั่นที่เรามีต่อมัน"
สำหรับการลงทุน ทองคำทำหน้าที่เป็น "สมอทางจิตวิทยา" (Psychological Anchor) นักวิเคราะห์มักแนะนำให้มีทองคำในพอร์ตประมาณร้อยละ 5-10 ไม่ใช่เพื่อหวังผลกำไรมหาศาล แต่เพื่อสร้างสมดุลในช่วงที่ตลาดหุ้นเผชิญวิกฤต โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่ความเชื่อมั่นต่อสถาบันการเงินยังไม่มั่นคง
บทสรุป: แม้ John Maynard Keynes (จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์) จะเคยเรียกทองคำว่าเป็น "สิ่งตกค้างจากยุคป่าเถื่อน" แต่เขาก็ไม่สามารถลบเลือนอิทธิพลทางจิตวิทยาที่มีต่อมนุษย์ได้ ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของตัวเลขดิจิทัล น้ำหนักที่อมตะของทองคำคือเครื่องเตือนใจว่า "ความมั่งคั่งที่แท้จริง" เป็นเรื่องของความทรงจำและความเชื่อมั่นที่จับต้องได้พอๆ กับเรื่องของเงินตรา
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.imf.org/en/publications/fandd/issues/series/analytical-series/golds-lasting-luster?fbclid=IwY2xjawOxA6tleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFpNDl5Q1FOdmRBeXZENnRac3J0YwZhcHBfaWQQMjIyMDM5MTc4ODIwMDg5MgABHhcgPxNhuzvAYEmjOFdEzhTcwgy_E3w6k28aKzkBHY6-J5aHTsl1kj0F7QXr_aem_siLKhs42DOau_rxxfO8Ufw