.

อินเดียกับจีนจะสามารถก้าวข้ามความแตกแยกได้หรือไม่
15-9-2025
การประชุมสุดยอดขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจิน ประเทศจีน ได้รับความสนใจจากชาติตะวันตกมากกว่าครั้งใดในอดีต โดยทั่วไปแล้ว ตะวันตกมักให้ความสำคัญกับ BRICS มากกว่า SCO เนื่องจาก BRICS มีการกระจายตัวในระดับทวีปมากกว่า ขณะที่ SCO จำกัดอยู่เฉพาะในดินแดนยูเรเซีย โดยมีจีน รัสเซีย และรัฐในเอเชียกลางเป็นสมาชิกดั้งเดิม ก่อนที่อินเดียและปากีสถานจะเข้าร่วมในภายหลัง และล่าสุดคือเบลารุส
เนื่องจาก BRICS ประกอบด้วยประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ การจัดตั้งสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank) และกลไกเงินสำรองฉุกเฉิน (Contingent Reserve Arrangement) การเสนอให้ใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้า เป้าหมายในการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงแนวคิดในการจัดตั้งหน่วยจัดอันดับเครดิตของตนเอง ฯลฯ BRICS จึงถูกมองว่าเป็นกลไกในการผลักดันโลกให้เป็นพหุภาคี ทั้งในมุมมองของสมาชิกพันธมิตร และแม้แต่จากตะวันตกเอง ขณะที่สหรัฐฯ มองว่าโลกพหุภาคีเช่นนี้ เป็นการท้าทายอำนาจนำของตนเองที่มีอยู่
แม้ที่ผ่านมา SCO จะไม่ถูกมองในบริบทนี้ แต่หลังจากการประชุมสุดยอดที่เทียนจิน SCO ก็จะเริ่มถูกมองว่าเป็นอีกแรงขับเคลื่อนหนึ่งของโลกพหุภาคีเช่นกัน
ที่น่าสนใจก็คือ การประชุมสุดยอดของ BRICS กลับไม่ได้รับความสนใจจากชาติตะวันตกมากเท่ากับการประชุมที่เทียนจินครั้งนี้ ซึ่งมีเหตุผลอยู่หลายประการ
ในการประชุม SCO ครั้งนี้ จีนใช้เวทีนี้เพื่อประกาศบทบาทของตนอีกครั้งบนเวทีโลก เหมือนกับที่เคยใช้โอลิมปิกในปี 2008 เพื่อแสดงถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของตน และครั้งนี้ จีนใช้การประชุม SCO เพื่อแสดงถึงการผงาดขึ้นของตนในฐานะมหาอำนาจทางทหาร โดยได้จัดขบวนพาเหรดทางทหารครั้งใหญ่ พร้อมแสดงแสนยานุภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ที่ล้ำสมัยอย่างน่าประทับใจ
นี่เป็นข้อความถึงสหรัฐฯ ตั้งแต่แรก เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก – เป็นข้อความเชิงยับยั้ง สหรัฐฯ รับสารนั้น โดยทรัมป์กล่าวว่าจีนคาดหวังให้เขาชมขบวนพาเหรด ซึ่งเขาก็ชม และเรียกการแสดงนั้นว่า "น่าประทับใจ" อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาดูว่าการแสดงแสนยานุภาพของจีนในครั้งนี้ จะกดดันให้สหรัฐฯ ยอมรับผลประโยชน์ในภูมิภาคของจีน หรือผลักดันให้สหรัฐฯ เพิ่มศักยภาพทางทหารเพื่อตอบโต้พลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นของจีนกันแน่
หลายคนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความตั้งใจของทรัมป์ในการเปลี่ยนชื่อกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ เป็น "กระทรวงสงคราม" ว่าบ่งชี้ถึงอะไร
แน่นอนว่าสารนี้ยังส่งตรงถึงไต้หวันด้วย โดยมีนัยว่าจีนมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะตอบโต้ทางทหาร หากไต้หวันดำเนินการแยกตัวเป็นอิสระ แม้สหรัฐฯ จะมีการวางกำลังทางทหารอย่างหนาแน่นในภูมิภาคก็ตาม การแสดงแสนยานุภาพดังกล่าวยังส่งสัญญาณไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคว่า จีนที่มีพลังทางทหารอันน่าเกรงขาม จะไม่ละทิ้งข้อเรียกร้องดินแดนในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อทิศทางการเจรจาร่าง “กฎบัตรความประพฤติ” ในทะเลจีนใต้ให้สอดคล้องกับข้อเรียกร้องของจีน
การที่นายกรัฐมนตรี โมดีของอินเดีย เข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งนี้ หลังจากความสัมพันธ์สหรัฐฯ–อินเดียตกต่ำอย่างรุนแรง ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้การประชุมได้รับความสนใจจากสื่อและแวดวงการเมืองของสหรัฐฯ อย่างไม่เคยมีมาก่อน
สำหรับอินเดีย การเข้าร่วมของโมดีไม่เกี่ยวกับการที่ทรัมป์โจมตีอินเดียแบบไม่สมเหตุสมผล แต่จังหวะเวลากลับทำให้หลายฝ่ายตีความว่าเป็นการส่งสัญญาณถึงสหรัฐฯ ว่า อินเดียมี “ทางเลือกทางการเมือง” ที่กว้างขวางกว่าที่สหรัฐฯ คิด และยังคงรักษา “อธิปไตยเชิงยุทธศาสตร์” ของตนเอาไว้ได้
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐฯ มองว่าอินเดียคือพันธมิตรหลักในการถ่วงดุลอำนาจของจีนในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก ผ่านกรอบความร่วมมือ Quad ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯ ในเอเชีย ดังนั้น สำหรับผู้สังเกตการณ์ในสหรัฐฯ การที่อินเดียและจีนเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น จึงเป็นการขัดขวางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบในการรับมือกับจีน
แต่อินเดียมีมุมมองที่ซับซ้อนกว่านั้นต่อ Quad และแนวคิดอินโด–แปซิฟิก เพราะจีนกดดันอินเดียทั้งโดยตรงผ่านพรมแดน และโดยอ้อมผ่านประเทศเพื่อนบ้านของอินเดีย การเข้าร่วม Quad และแนวคิดอินโด–แปซิฟิกจึงเปิดโอกาสให้อินเดียสามารถสร้างแรงกดดันกลับไปยังจีนได้บ้าง
เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าขนาดใหญ่กับจีนและต้องการมีช่องทางในการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางทหาร อินเดียก็มีเหตุผลคล้ายกันในการรักษาช่องทางการพูดคุยกับจีนในฐานะประเทศเพื่อนบ้านโดยตรง ทั้งเพื่อจำกัดความเสี่ยงจากความขัดแย้งโดยตรง และเพื่อไม่ละเลยผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีที่มีมูลค่าสูงเช่นกัน
การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี โมดี ในการเยือนประเทศจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ถูกมองว่าเป็นก้าวทางการเมืองที่สำคัญโดยทั้งสองฝ่าย รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน หวัง อี้ ได้เดินทางไปอินเดียล่วงหน้า และได้บรรลุความเข้าใจร่วมกันบางประการในการเจรจากับที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของอินเดียและรัฐมนตรีต่างประเทศของอินเดีย
สำหรับอินเดีย การพบกันครั้งนี้ถือเป็นก้าวต่อไปอย่างมีเหตุผลในการพยายามลดความตึงเครียดกับจีน ผ่านการพบกันของโมดี–สี จิ้นผิง อีกครั้งที่เมืองเทียนจิน หลังจากที่ทั้งสองพบกันครั้งแรกที่การประชุมสุดยอดที่คาซานเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพบกันหลังจากเกิดความขัดแย้งทางทหารในพื้นที่ลาดักตะวันออกเมื่อปี 2020
การประชุมที่คาซานแม้จะให้ผลลัพธ์ที่จำกัด แต่ก็ถือเป็นผลในทางบวก การเจรจาโมดี–สี จิ้นผิง ที่เมืองเทียนจินซึ่งใช้เวลานาน 1 ชั่วโมง ช่วยปรับบรรยากาศของความสัมพันธ์อินเดีย–จีนให้ดีขึ้น แม้ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีความคืบหน้าครั้งใหญ่ในทันที เป้าหมายคือการรักษาสันติภาพและความสงบเรียบร้อยบริเวณพรมแดน ผ่านการจัดการพรมแดนแบบปรับตัว ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับสู่ภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป
การประชุมสุดยอดครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้โมดีได้เจรจาแบบเผชิญหน้ากับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ก่อนการเยือนอินเดียที่มีกำหนดไว้ในเดือนธันวาคมปีนี้ อินเดียได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนต่อสหรัฐฯ ว่า จะไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่พยายามให้หยุดการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย
ดังนั้น โมดีจึงเข้าพบปูตินด้วยท่าทีที่แข็งแกร่ง เป็นมิตร และได้แสดงให้เห็นว่าอินเดียให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับรัสเซียในฐานะผลประโยชน์ของชาติ และพร้อมที่จะจ่ายต้นทุนบางอย่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้
ไม่แปลกที่การพบกันระหว่างโมดีและปูตินที่เทียนจินจะอบอุ่นเป็นพิเศษ โมดีโดยสารรถส่วนตัวของปูติน และทั้งสองได้สนทนาเป็นการส่วนตัวนาน 45 นาทีในรถยนต์ ขณะที่คณะผู้ติดตามของทั้งสองรออยู่ในล็อบบี้ การสนทนาอย่างไม่เป็นทางการนี้สร้างความสนใจในแวดวงการเมืองและสื่ออย่างมาก
เป็นไปได้ว่าปูตินได้บรรยายสรุปให้โมดีฟังอย่างละเอียดเกี่ยวกับการพบกับทรัมป์ที่อลาสก้า และความคืบหน้าของกระบวนการสันติภาพในยูเครน รวมถึงสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายควรตั้งเป้าหมายในการประชุมสุดยอดอินเดีย–รัสเซียประจำปีในเดือนธันวาคมนี้
หลังจากบทสนทนาในรถยนต์ ผู้นำทั้งสองได้เดินจับมือกันเข้าไปหาประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ซึ่งโมดีเป็นฝ่ายยื่นมือทักทาย และผู้นำทั้งสามได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาอย่างผ่อนคลาย ภาพนี้ย่อมสร้างแรงกระเพื่อมในวงการเมืองและสื่อของสหรัฐฯ
รัสเซียกับจีนใกล้ชิดกันนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่รัสเซีย อินเดีย และจีนมารวมตัวกัน ย่อมถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ หลายฝ่ายโทษว่าทรัมป์คือผู้ที่อาจทำให้สหรัฐฯ “เสีย” อินเดียไป ด้วยพฤติกรรมที่เอาแต่ใจ การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าอินเดียถึง 50% และคำพูดที่ดูหมิ่นหลายครั้งทั้งจากตัวเขาเองและที่ปรึกษาระดับสูงของเขาต่ออินเดีย
รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ได้กล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้เกี่ยวกับการฟื้นฟูการเจรจาระหว่าง รัสเซีย–อินเดีย–จีน ภาพของผู้นำทั้งสามยืนเคียงข้างกันในบรรยากาศที่เป็นมิตร ย่อมกระตุ้นความกังวลในบางวงการของสหรัฐฯ โดยเฉพาะฝ่ายที่ต่อต้านทรัมป์ ซึ่งมองว่าสหรัฐฯ กำลังเสี่ยงต่อการเผชิญหน้ากับแนวร่วมทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ทรงพลัง
การประชุมสุดยอดของ SCO (องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้) ครั้งนี้ได้เปิดเวทีให้ นายกรัฐมนตรีโมดี ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้นำเอเชียคนอื่น ๆ รวมถึงประธานาธิบดีของอิหร่าน SCO ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อต่อสู้กับปัญหาการก่อการร้าย ลัทธิสุดโต่ง และการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่สมาชิกส่วนใหญ่ต้องเผชิญ
สำหรับอินเดีย ประเด็นเหล่านี้ถือเป็นความกังวลที่ยาวนาน โดยโมดีได้เน้นย้ำในคำกล่าวของเขาในการประชุมเต็มคณะ โดยมีเหตุการณ์โจมตีใน พาฮัลกาม อยู่ในใจ เขากล่าวว่า “มาตรฐานสองชั้น” ในการจัดการกับการก่อการร้ายเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และประเทศสมาชิก SCO ควรร่วมกันต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบและในทุกรูปการ
ความเชื่อมโยง เป็นองค์ประกอบสำคัญของการขยายความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก SCO โมดีได้กล่าวถึงโครงการต่าง ๆ เช่น ท่าเรือจาห์บาฮาร์ และ เส้นทางคมนาคมระหว่างประเทศเหนือ–ใต้ (International North-South Transport Corridor) ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงกับ อัฟกานิสถาน และ เอเชียกลาง ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาได้เตือนว่า ความพยายามใด ๆ ที่เกี่ยวกับการเชื่อมต่อจะต้องยึดหลัก อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ซึ่งถือเป็นหลักการพื้นฐานของกฎบัตร SCO ด้วย คำพูดนี้ถือเป็นการพาดพิงทางอ้อมถึง โครงการระเบียงเศรษฐกิจจีน–ปากีสถาน (CPEC)
โมดียังได้กล่าวถึง มรดกทางพุทธศาสนา ที่หลายประเทศสมาชิก SCO มีร่วมกัน และได้เสนอให้จัดตั้ง เวทีสนทนาอารยธรรม (Civilizational Dialogue Forum) ภายใต้ SCO เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน ซึ่งมีความสำคัญในบริบทที่ประเทศสมาชิก SCO หลายประเทศนิยามตนเองว่าเป็น “รัฐแห่งอารยธรรม” (Civilizational States)
โดยสรุป การประชุมสุดยอด SCO ที่เมืองเทียนจินในครั้งนี้ ได้ยกระดับสถานะขององค์การบนเวทีระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
By Kanwal Sibal