อิตาลีทองคำสำรอง 2,452 ตัน อาวุธลับรับทุกวิกฤต

อิตาลีทองคำสำรอง 2,452 ตัน อาวุธลับรับทุกวิกฤต 'กอดทองฝ่าหนี้' ยืนยันไม่ขาย แม้หนี้สาธารณะพุ่ง 137% ของ GDP
16-10-2025
Reuters รายงานว่า ธนาคารกลางอิตาลี (Bank of Italy) ยืนยันความได้เปรียบเชิงเสถียรภาพเศรษฐกิจในช่วงราคาทองคำตลาดโลกพุ่งทำสถิติใหม่ ขณะที่สัดส่วนทองคำในทุนสำรองของอิตาลีอยู่ที่ 2,452 ตัน มูลค่าประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 13% ของ GDP ปี 2024) สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก รองแค่สหรัฐฯ และเยอรมนี
อิตาลีเป็นประเทศที่ตั้งแต่พันธบัตรไปจนถึงธนาคาร มักตกเป็นเป้าของวิกฤตตลาดบ่อยครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กำลังได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของ ทองคำสำรอง (gold reserves) จำนวนมากของธนาคารกลาง ซึ่งสอดคล้องกับราคาทองคำที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ปริมาณทองคำสำรองของประเทศสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องสินทรัพย์มานานหลายทศวรรษ หลังจากที่ได้สร้างสมทุนสำรองขึ้นใหม่จากที่ถูกกองทัพนาซีปล้นไปในช่วงทศวรรษ 1940 และเป็นจุดยืนที่ทำให้อิตาลี (Italy) สามารถต้านทานเสียงเรียกร้องให้ขายทองคำเพื่อแก้ไขวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้หนี้สาธารณะของประเทศจะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน ธนาคารกลางอิตาลี (Bank of Italy) เป็นเจ้าของทองคำสำรองแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐฯ (US) และเยอรมนี (Germany) เท่านั้น โดยทองคำสำรองจำนวน 2,452 เมตริกตัน มีมูลค่าประมาณ 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามราคาปัจจุบัน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 13% ของผลผลิตแห่งชาติในปี 2024 (ตามการคำนวณของรอยเตอร์)
ประสบการณ์ช่วงสงครามกำหนดนโยบายช่วงสันติ
ความผูกพันของอิตาลี (Italy) กับทองคำมีมานานหลายพันปี ย้อนกลับไปตั้งแต่ยุค อีทรัสคัน (Etruscans) ที่เชี่ยวชาญเทคนิคการหลอมลูกปัดทองคำก่อนยุคกรุงโรมโบราณ (ancient Rome) ภายใต้ จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) เหรียญทอง "ออเรียส" (aureus) ได้กลายเป็นเสาหลักทางการเงินของจักรวรรดิโรมัน และหลายศตวรรษต่อมา "ฟิออริโน" (fiorino) ก็มีอิทธิพลในยุคกลางของยุโรป (medieval Europe) เช่นเดียวกับเงินดอลลาร์ในปัจจุบัน
นโยบายทองคำที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ถูกกำหนดโดยประสบการณ์ในยามสงคราม เมื่อกองกำลังนาซี (Nazi forces) ได้รับความช่วยเหลือจากระบอบฟาสซิสต์ของอิตาลีเอง (Italy’s own fascist regime) เข้ายึดทองคำสำรองไป 120 ตัน และเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ปริมาณทองคำคงเหลือลดลงเหลือประมาณ 20 ตัน
ในช่วง "ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ (economic miracle)" หลังสงคราม อิตาลี (Italy) กลายเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกและเห็นการหลั่งไหลของเงินตราต่างประเทศ โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐฯ (US dollars) อย่างมาก โดยทองคำสำรองได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,400 ตัน ภายในปี 1960 รวมถึงทองคำสามในสี่ที่ถูกยึดไปในช่วงสงคราม ซึ่งสามารถกู้คืนกลับมาได้ในปี 1958
การรักษาทรัพย์สมบัติของตระกูล
วิกฤตราคาน้ำมันในทศวรรษ 1970 นำมาซึ่งความไม่แน่นอนของโลก ซึ่งในอิตาลี (Italy) หมายถึงความไม่สงบทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้ง ซึ่งนักลงทุนมองว่าเป็นความเสี่ยง
นายสเตฟาโน คาเซลลี (Stefano Caselli) คณบดีของ SDA Bocconi School of Management ในมิลาน (Milan) กล่าวกับรอยเตอร์ว่า "ความไม่แน่นอนทางการเงินอย่างรุนแรง ทำให้ธนาคารกลางของประเทศตะวันตกต้องซื้อทองคำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของความมั่นคงทางการเงิน"
เพื่อชดเชยช่องว่างในงบประมาณที่เกิดจากการไหลออกของเงินทุน โรม (Rome) ใช้ทองคำแท่ง 41,300 แท่งจากทุนสำรองเป็นหลักประกันสำหรับการกู้ยืมเงิน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก ธนาคารกลางเยอรมนี (Bundesbank) ในปี 1976
แต่ไม่เหมือนกับอังกฤษ (Britain) หรือสเปน (Spain) อิตาลี (Italy) ปฏิเสธที่จะขายทองคำออกไปในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ โดยยังคงรักษาทุนสำรองไว้แม้ในช่วงวิกฤตหนี้ปี 2008 นายซัลวาตอเร รอสซี (Salvatore Rossi) อดีตรองผู้ว่าการธนาคารกลางอิตาลี (Bank of Italy) กล่าวในหนังสือ 'Oro' (Gold) ของเขาในปี 2018 ว่า "ทองคำก็เหมือนเครื่องเงินของครอบครัว เหมือนนาฬิกาอันล้ำค่าของคุณปู่ เป็นทางเลือกสุดท้ายในยามวิกฤตใด ๆ ที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่นระหว่างประเทศต่อประเทศนั้น ๆ"
การตัดสินใจที่ทันสมัยในยุคปัจจุบัน
ขณะที่หลายประเทศตะวันตกยังคงมองทองคำเป็นเกราะป้องกันสุดท้าย ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังกลับมาสะสมทองคำอีกครั้ง ท่ามกลางการปรับรูปโฉมของระเบียบโลก นายคาเซลลี (Caselli) ระบุว่า "การตัดสินใจทางประวัติศาสตร์ของธนาคารกลางอิตาลี (Bank of Italy) นั้นให้ความรู้สึกที่ทันสมัยอย่างน่าทึ่ง เพราะเรากลับมาสู่จุดนั้นอีกครั้งแล้ว"
ปัจจุบัน ธนาคารกลางอิตาลี (Bank of Italy) ถือครองเหรียญทองคำประมาณ 871,713 เหรียญ มีน้ำหนักประมาณ 4.1 ตัน ในห้องนิรภัย ซึ่งถูกเรียกว่า 'sacristy' (ห้องเก็บของศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์)
ณ สิ้นปีที่แล้ว ทองคำคิดเป็นเกือบ 75% ของทุนสำรองทางการของอิตาลี (Italy) ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สูงกว่าร้อยละ 66.5 ของกลุ่มประเทศยูโรโซน (euro zone) อย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจาก สภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่าทองคำประมาณ 1,100 ตัน ถูกเก็บไว้ในห้องนิรภัยใต้สำนักงานใหญ่ของธนาคารกลางอิตาลี (Bank of Italy) ที่ Palazzo Koch ในขณะที่ส่วนที่คล้ายกันถูกเก็บไว้ในสหรัฐฯ (US) และส่วนเล็ก ๆ ถูกเก็บไว้ในอังกฤษ (Britain) และสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)
ทรัพย์สินที่ร้อนแรงที่สุดในตลาด
แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ขายทองคำเพื่อลดภาระหนี้สาธารณะของอิตาลี (Italy) ซึ่งขณะนี้มีมูลค่าเกิน 3 ล้านล้านยูโร ($3.49 ล้านล้าน) และคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 137.4% ของ GDP ในปีหน้า แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ นายจิอาโคโม ชิโอริโน (Giacomo Chiorino) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ตลาดของ Banca Patrimoni Sella & C. กล่าวว่า "การขายทองคำไปแม้เพียงครึ่งเดียวก็ไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤตหนี้ของอิตาลี (Italy) ได้อยู่ดี"
กระนั้นก็ตาม ธนาคารกลางอิตาลี (Bank of Italy) แสดงให้เห็นว่าไม่มีความตั้งใจที่จะขายทองคำ โดยธนาคารกลางไม่มีความเห็นเกี่ยวกับนโยบายทองคำสำหรับบทความนี้
"ในช่วงเวลาที่โลกกำลังถูกวาดรูปใหม่ ราคาทุนสำรองทางการเงินได้เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน และสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น สเตเบิลคอยน์ (stablecoins) และคริปโตเคอร์เรนซี (cryptocurrency) กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ธนาคารกลางต่าง ๆ จึงถือครองสินทรัพย์ที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้" นายคาเซลลี (Caselli) กล่าว พร้อมเสริมว่า "พวกเขาคิดถูกแล้วที่ไม่ขายมันออกไป"
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.reuters.com/business/finance/italys-tenacious-stance-gold-pays-off-prices-soar-2025-10-15/