ยุทธศาสตร์ความมั่นคงใหม่ไร้'ปลดอาวุธนิวเคลียร์'
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงใหม่ของ ทรัมป์ ไร้คำว่า 'ปลดอาวุธนิวเคลียร์' เกาหลีเหนือ ส่งสัญญาณฟื้นการทูต เปิดทางเจรจา คิม จอง อึน
9-12-2025
SCMP รายงานว่า แผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงโลกฉบับใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้ตัดการกล่าวถึง "การปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ" ออกจากเป้าหมายโดยสิ้นเชิง ซึ่งยิ่งกระพือการคาดการณ์ว่ารัฐบาลวอชิงตันอาจกำลังปรับมุมมองเพื่อเพิ่มโอกาสในการบรรลุข้อตกลงทางการทูตกับกรุงเปียงยางในปี 2026
เป้าหมายในการยุติภัยคุกคามทางนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ (North Korea) ถือเป็นสิ่งที่ระบุไว้อย่างต่อเนื่องในยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (US) ทุกคน นับตั้งแต่การปรากฏตัวของโครงการนิวเคลียร์ของกรุงเปียงยางในปี 2003 ทว่า กลับถูกละเลยอย่างเห็นได้ชัดในเอกสารฉบับล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
การละเว้นการกล่าวถึงเกาหลีเหนือ (North Korea) และโครงการเร่งสร้างอาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถบรรจุบนขีปนาวุธพิสัยไกล ซึ่งมีศักยภาพในการโจมตีแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ (US) กำลังโหมกระพือความคาดหวังถึงการรื้อฟื้นการเจรจาระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และ คิม จองอึน (Kim Jong-un) ผู้นำเกาหลีเหนืออีกครั้ง หลังจากการเจรจาครั้งล่าสุดมีขึ้นในปี 2019
นายฮง มิน (Hong Min) ผู้เชี่ยวชาญด้านความคิดเชิงยุทธศาสตร์ของกรุงเปียงยาง จากสถาบัน Korea Institute for National Unification กล่าวว่า นายทรัมป์ (Trump) ได้แสดงความเต็มใจที่จะเจรจากับผู้นำเกาหลีเหนือด้วยวิธีที่ "เชิงรุก" (proactive) ซึ่งบ่งชี้ว่าเขา "ต้องการให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างด้วยการดำเนินการ" นายฮง (Hong) ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า "ผมคิดว่ามีความตั้งใจอย่างมีสติในระดับหนึ่ง ที่ว่าแนวคิดเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์นั้น...ไม่จำเป็นต้องถูกยกขึ้นมากล่าวถึงในที่นี้เลย"
ทั้งนี้ ในแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงฉบับก่อนหน้าของทรัมป์ (Trump) ที่เผยแพร่ในระหว่างวาระแรกของเขาในปี 2017 เกาหลีเหนือ (North Korea) ถูกกล่าวถึงถึง 16 ครั้ง ในฐานะภัยคุกคามต่อ "มาตุภูมิของเรา" และรัฐอันธพาล (rogue state) ที่อาจ "ใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีสหรัฐฯ (United States)"
ขณะที่เอกสารฉบับปีนี้ได้วางวิสัยทัศน์ของทรัมป์ (Trump) เรื่อง "สัจนิยมที่ยืดหยุ่น" (flexible realism) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การยับยั้งความขัดแย้งกับประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ (mainland China) เหนือประเด็นไต้หวัน (Taiwan) โดยการเพิ่มอำนาจทางทหารของพันธมิตรในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเกาหลีใต้ (South Korea) และประเทศญี่ปุ่น (Japan)
มุมมองของผู้นำ คิม จองอึน (Kim Jong-un)
อย่างไรก็ตาม ทั้งเกาหลีใต้ (South Korea) และสหรัฐฯ (US) ต่างออกมาปฏิเสธเมื่อวันจันทร์ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายใด ๆ ต่อเกาหลีเหนือ (North Korea) โดยเน้นย้ำว่าการปลดอาวุธนิวเคลียร์ยังคงเป็นเป้าหมาย
ในขณะที่ นายคิม จองอึน (Kim Jong-un) ผู้นำเกาหลีเหนือ (North Korea) ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า ประเด็นที่เขาจะกลับมาเจรจาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของการหารือ และเขาและทรัมป์ (Trump) จะต้องพบกันในฐานะผู้นำที่มีความเท่าเทียมกันของรัฐนิวเคลียร์
นายคิม (Kim) กล่าวต่อรัฐสภาในเดือนกันยายนว่า "แนวคิดเรื่อง 'การปลดอาวุธนิวเคลียร์' ได้สูญเสียความหมายไปแล้ว เราได้กลายเป็นรัฐนิวเคลียร์แล้ว" พร้อมเสริมว่า "ผมขอยืนยันว่า 'การปลดอาวุธนิวเคลียร์' เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะคาดหวังจากเรา" นายคิม (Kim) ระบุเพิ่มเติมว่า "หากประเทศสหรัฐฯ (United States) ปลดปล่อยตัวเองจากการแสวงหาการปลดอาวุธนิวเคลียร์ที่ไร้สาระของผู้อื่น และยอมรับความเป็นจริง พร้อมทั้งต้องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับเราอย่างแท้จริง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เราจะไม่เผชิญหน้ากัน"
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การเจรจาสันติภาพกับนายทรัมป์ (Trump) จะเป็นการตอกย้ำจุดยืนของนายคิม (Kim) ในประเทศในฐานะผู้นำระดับโลก และพิสูจน์ให้ประชาชนที่ยากจนของเขาเห็นว่าเขาได้ทำตามคำมั่นสัญญาที่บิดาและปู่ของเขาไม่สามารถรักษาไว้ได้
ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสองเคยจัดการประชุมสุดยอดร่วมกันในปี 2018 และ 2019 ก่อนที่การเจรจาจะล้มเหลวลงจากประเด็นคลังอาวุธนิวเคลียร์ของกรุงเปียงยาง (Pyongyang) ซึ่งปัจจุบันเกาหลีเหนือ (North Korea) ยังคงอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศอย่างหนักหน่วงจากโครงการอาวุธนิวเคลียร์และโครงการขีปนาวุธของตน
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/news/asia/east-asia/article/3335605/trump-drops-north-korea-denuclearisation-goal-2026-hints-talks-kim-jong-un?module=top_story&pgtype=section