.

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำพุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
3-9-2025
ท่ามกลางความต้องการจากธนาคารกลางและความคาดหวังลดอัตราดอกเบี้ย สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ (Gold Futures) แสดงผลงานรายวันที่น่าประทับใจที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน โดยพุ่งขึ้นถึง 83.40 ดอลลาร์ สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,602.40 ดอลลาร์ ณ เวลา 17:33 น. ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐฯ (ET)ในวันอังคารทีผ่านมา การพุ่งขึ้นอย่างโดดเด่นนี้สะท้อนถึงแนวโน้มขาขึ้นในวงกว้าง โดยสัญญาทองคำล่วงหน้าได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 6 จาก 7 วันซื้อขายล่าสุด
สำหรับสัญญาทองคำล่วงหน้าเดือนธันวาคม ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3,599.50 ดอลลาร์ หลังจากรวมการเพิ่มขึ้นของวันนี้ที่ 83.40 ดอลลาร์เข้าไปแล้ว
สิ่งที่ทำให้การพุ่งขึ้นในครั้งนี้น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ มันเกิดขึ้นพร้อมกับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.66% ในวันเดียวกัน โดยปกติแล้ว ทองคำกับดอลลาร์มักจะเคลื่อนไหวสวนทางกัน ดังนั้นการที่ทั้งสองสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นพร้อมกัน จึงถือเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกและน่าสนใจ ซึ่งอาจต้องมีการวิเคราะห์เพิ่มเติมในเชิงลึก
การสะสมทองคำของธนาคารกลางผลักดันดีมานด์เชิงโครงสร้าง
การพุ่งขึ้นของราคาทองคำสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในกลยุทธ์การบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลก โดยราคาทองคำสปอต (XAUUSD) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,528 ดอลลาร์ในวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการสะสมทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ตามรายงานของ Tavi Costa นักวิเคราะห์แมโครจาก Crescat Capital ธนาคารกลางต่างประเทศในขณะนี้ถือครองทองคำในสัดส่วนที่มากกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (U.S. Treasuries) ในทุนสำรองระหว่างประเทศของตนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996
เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจากแนวคิดหลังสงครามเย็น ที่เน้นการถือครองสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นหลักในฐานะเสาหลักของทุนสำรองระหว่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของธนาคารกลางในการกระจายความเสี่ยงออกจากการพึ่งพาเงินดอลลาร์ ซึ่งอาจสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของสกุลเงิน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาวของประเทศที่พัฒนาแล้ว
ความคาดหวังด้านนโยบายการเงินหนุนความเชื่อมั่น
ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผลักดันการพุ่งขึ้นของราคาทองคำ คือ ความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปเกี่ยวกับนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) นักลงทุนในตลาดเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐานในเดือนนี้ โดยราคาปัจจุบันสะท้อนความน่าจะเป็นสูงถึง 91.7% ของการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 86.4% เมื่อเพียงหนึ่งวันก่อนหน้า และ 87.8% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยนี้ช่วยอธิบายปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดของราคาทองคำและค่าเงินดอลลาร์ที่ปรับตัวสูงขึ้นพร้อมกัน โดยปกติแล้ว ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าจะกดดันราคาทองคำ แต่การที่อัตราดอกเบี้ยลดลงจะช่วยลดต้นทุนโอกาสในการถือครองสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนอย่างทองคำ นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยมักสื่อถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หรือการผ่อนคลายนโยบาย ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้มักเพิ่มความน่าสนใจของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven)
Kitco News
---------------------------
‘แบงก์ชาติทั่วโลก’ ถือทองคำมากกว่าพันธบัตรสหรัฐครั้งแรกรอบ 30 ปี
3-9-2025
ช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา “ราคาทองคำ” ทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความกังวลเรื่องความไม่สงบในหลายพื้นที่ทั่วโลกและการเปลี่ยนแปลงระเบียบการค้าโลกหลังจากเข้ามาของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
ล่าสุด บทวิเคราะห์ “Foreign Central Banks’ Gold Tops US Treasuries For First Time Since 1996” ของ ชาร์ล-อองรี มงโชว์ (Charles-Henry Monchau) Chief Investment Officer (CIO) ของ Syz Group บริษัทจัดหาเงินทุนสัญชาติสวิส ในเว็บไซต์อินเวนติงดอทคอม ระบุว่า ปัจจุบันธนาคารกลางทั่วโลก(แบงก์ชาติทั่วโลก)ถือทองคำในฐานะทุนสำรองมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเรียบร้อยแล้วซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996 หรือครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี
“ทั้งโลกอาจกำลังเห็นการปรับสมดุลโครงสร้างเศรษฐกิจโลก หรือ Global Rebalancing ครั้งสำคัญที่สุดที่เราเคยเห็นมาในประวัติศาสตร์” มงโชว์ กล่าว
เมื่อพิจารณาปริมาณทองคำที่ทั่วโลกถืออยู่จะพบว่าสหรัฐยังเป็นผู้ถือครองทองคำในปริมาณที่มากที่สุดในโลกที่ 8,133 ตัน และตามมาด้วย เยอรมัน (3,350 ตัน) อิตาลี (2,452 ตัน) ฝรั่งเศส (2,437 ตัน) รัสเซีย (2,330 ตัน) จีน (2,299 ตัน) และสวิตเซอร์แลนด์ (1,040 ตัน)
จากตัวเลขทั้งหมดจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าปริมาณทองคำสำรองของสหรัฐยังมีปริมาณมากกว่าสามอันดับล่างอย่างเยอรมัน อิตาลี และฝรั่งเศสรวมกัน ขณะเดียวกันถึงแม้สวิตเซอร์แลนด์จะมีทองคำสำรองน้อยกว่าหลายประเทศ แต่กลับมีปริมาณทองคำต่อหัวประชากร (gold per capita) มากที่สุด ส่วนรัสเซียและจีนเป็นสองประเทศที่รัฐบาลเริ่มสะสมทองคำในอัตราเร่งที่น่าจับตาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
“ทุนสำรองทองคำยังเป็นเรื่องของอำนาจด้วย ผู้ที่ควบคุมทองคำมากที่สุดจะมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่งในช่วงเวลาวิกฤต การคว่ำบาตร หรือความผันผวนของสกุลเงิน” เขากล่าว
โดย พิชเญศ จีระเศรษฐ
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
https://www.bangkokbiznews.com/world/1196950