.

อดีตผู้บริหาร Goldman Sachs เตือนวิกฤตหนี้โลก –เฟดไร้ทิศทาง ดันราคาทองคำ แตะ $4,500 ต้นปีหน้า
29-9-2025
Money Metals รายงานว่า Nomi Prins ชี้ความไม่สอดคล้องของ Fed และ 'Stealth QE' คือแรงขับทองคำสู่ $5,500 ในปี 2027 ในการเสวนาพิเศษกับ Money Metals Podcast ดร. โนมิ พรินส์ (Dr. Nomi Prins) อดีตผู้บริหารระดับสูงจากสถาบันการเงินชั้นนำของวอลล์สตรีท (Wall Street) เช่น Goldman Sachs และ Lehman Brothers ได้ให้ความเห็นถึงทิศทางที่เป็นอันตรายของหนี้สินโลก โดยเฉพาะหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ (US national debt) ที่พุ่งสูงถึง $37 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และเตือนว่าภาระหนี้สินดังกล่าวได้บ่อนทำลายความแข็งแกร่งของชาติทั้งในด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์
ภาวะหนี้สินที่ไม่เคยมีมาก่อน (Unprecedented Debt)
พรินส์ (Prins) ซึ่งมีประสบการณ์หลายทศวรรษในการวิเคราะห์สินเชื่อ ความเสี่ยง และหนี้สิน ยอมรับว่าเธอไม่เคยคาดคิดว่าการคงอัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์เป็นเวลานานกว่าสองทศวรรษจะนำไปสู่การขยายตัวของหนี้สินถึงขีดสุดเช่นนี้ นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2000 เงินทุนราคาถูกได้กระตุ้นให้เกิดการกู้ยืมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลสหรัฐฯ (US government) ใช้จ่ายกว่า $1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีเพียงเพื่อชำระดอกเบี้ยหนี้ (debt servicing) เท่านั้น
สัญญาณที่น่ากังวลคือ ความต้องการพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (Treasuries) จากต่างประเทศเริ่มลดลง โดยธนาคารกลางหลายแห่งได้เปลี่ยนไปซื้อ ทองคำ แทน พรินส์ (Prins) อธิบายว่า "กระบวนทัศน์ใหม่ของเงินที่ไม่มีต้นทุน" นี้ เป็นความบิดเบือนที่ได้ปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเงินโลกไปอย่างสิ้นเชิง
ความไม่สอดคล้องของธนาคารกลางสหรัฐฯ (The Fed's Inconsistency)
การตัดสินใจของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve - Fed) ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 basis points ในเดือนกันยายน 2025 ทั้งที่ยังยืนยันว่าอัตราเงินเฟ้อยังคง "อยู่ในระดับสูง" ถูกวิจารณ์ถึงความไม่สอดคล้องกัน พรินส์ (Prins) ชี้ให้เห็นว่า ในเดือนกันยายน 2023 Fed เคยลดดอกเบี้ย 50 basis points ในขณะที่อัตราการว่างงานต่ำกว่าและมีการสร้างงานที่แข็งแกร่งกว่า โดยที่อัตราเงินเฟ้อในขณะนั้นสูงกว่าปัจจุบันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เธอให้ความเห็นว่าความไม่สอดคล้องนี้เผยให้เห็นว่า นโยบายของ Fed นั้นเป็นไปตามอำเภอใจ (arbitrary) มากเพียงใด ซึ่งกำลังกัดกร่อนความเชื่อมั่นทั้งภายในและภายนอกประเทศ
กลไก 'Stealth QE' และการพึ่งพาสภาพคล่อง
แม้ว่าการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing - QE) อย่างเป็นทางการจะยุติลงแล้ว แต่ พรินส์ (Prins) อธิบายว่ามีกลไกทางเบื้องหลังที่กำลังค้ำจุนตลาดพันธบัตรกระทรวงการคลังอยู่ กฎใหม่สามารถยกเว้นพันธบัตรกระทรวงการคลังจากข้อกำหนดด้านเงินกองทุน (capital requirements) ทำให้ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่สามารถซื้อหนี้รัฐบาลได้มากขึ้นโดยไม่มีบทลงโทษ และสามารถนำสินทรัพย์เหล่านั้นไปค้ำประกันเพื่อรับเงินสดจาก Fed อีกทอดหนึ่ง
เธอเรียกสิ่งนี้ว่า "Stealth QE" (การอัดฉีดสภาพคล่องอย่างลับๆ) ซึ่งเป็นวิธีดูดซับการออกพันธบัตร (Treasury issuance) จำนวนมหาศาลในขณะที่ผู้ซื้อต่างชาติถอยห่างไป การดำเนินการเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าระบบการเงินโลกพึ่งพาสภาพคล่องที่ถูกสร้างขึ้น (engineered liquidity) มากเพียงใด
แนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งสำหรับทองคำและเงิน
พรินส์ (Prins) แสดงความเชื่อมั่นอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อแนวโน้มของ ทองคำ (Gold) เธอชี้ว่า ทองคำได้สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนี S&P 500 และพันธบัตรแล้ว โดยนักลงทุนตะวันตกกำลังหลั่งไหลเข้าสู่กองทุน ETF ที่มีทองคำหนุนหลัง (gold-backed ETFs) ซึ่งมีการไหลเข้าเพิ่มขึ้น 44% นับตั้งแต่ต้นปี เป็นการบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนทิศทางความต้องการจากฝั่งตะวันออกสู่ตะวันตก
การคาดการณ์: พรินส์ (Prins) ได้เพิ่มการคาดการณ์ราคาทองคำเป็น $4,500 เหรียญสหรัฐฯ ต่อออนซ์ ภายในต้นปี 2026 และมีแนวโน้มที่จะมุ่งสู่ $5,500 เหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2027
สำหรับ เงิน (Silver) เธอยืนยันว่ายังคงมีความสำคัญทางการเงิน แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าเป็นเพียงสินทรัพย์ทางอุตสาหกรรมเท่านั้น เนื่องจากบทบาทสำคัญของเงินในโครงข่ายพลังงานและเทคโนโลยี เงินจึงถือเป็น "สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงทางการเงินที่มีเงาทางอุตสาหกรรมที่ยาวนาน" นอกจากนี้ เธอยังกล่าวเสริมว่า ธนาคารกลางอาจจัดประเภทเงินให้เป็นสินทรัพย์ชั้นหนึ่ง (tier-one asset) อีกครั้งในอนาคต ซึ่งเป็นการฟื้นฟูสถานะทางการเงินของเงิน
ทางแยกของสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities at the Crossroads)
พรินส์ (Prins) มองภาพรวมที่ใหญ่ขึ้นว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านระดับโลกจากการเงินนิยม (financialization) ไปสู่การพึ่งพา ทรัพยากรทางกายภาพ (physical resources) Nations ไม่สามารถพิมพ์เงินเพื่อสร้างเงิน, ทองแดง, ยูเรเนียม, หรือลิเธียมได้ และสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้กำลังกลายเป็นศูนย์กลางของกลาโหม พลังงาน และการค้า
เธอย้ำว่าอำนาจโลกกำลังผูกติดอยู่กับผู้ที่ควบคุม สินทรัพย์จริง (real assets) มากกว่าผู้ที่สามารถสร้างหนี้ได้มากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับข้อสรุปที่ว่า เศรษฐกิจกำลังย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น โดยห่างเหินจากสินทรัพย์ทางการเงินที่อยู่บนกระดาษ และกลับไปสู่สินทรัพย์ที่มีตัวตน (tangible assets) ความจริงที่ว่าเงินสามารถถูกพิมพ์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่สินค้าโภคภัณฑ์ไม่สามารถพิมพ์ได้ กำลังปรับสมดุลอำนาจโลกและรับประกันอนาคตที่เป็นขาขึ้นสำหรับทองคำและเงิน
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.moneymetals.com/news/2025/09/27/nomi-prins-debt-the-fed-and-the-bullish-case-for-gold-and-silver-004366