.

ราคาทองคำพุ่งทำลายสถิติ จีนเดินเกมท้าทาย ‘ทรัมป์-ดอลลาร์’ เสนอ ‘ทองคำและเงินหยวน’ เป็นทางเลือกใหม่ในตลาดการเงินโลก
11-10-2025
Bloomberg รายงานว่า ราคาทองคำได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยล่าสุดทะลุ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรก ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายที่แข็งกร้าวและพลิกผันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ทั้งด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ ส่งผลให้เกิดแรงผลักดันครั้งใหญ่ให้จีนใช้โอกาสนี้เพื่อเสริมสร้างบทบาทในตลาดการเงินโลกให้พึ่งพาสหรัฐฯ น้อยลง.
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลปักกิ่งได้เร่งสะสมทองคำสำรองเป็นจำนวนมาก จนคาดว่าปัจจุบันจีนมีคลังทองเป็นอันดับที่ 6 ของโลก โดยล่าสุดทางการจีนเดินหน้าเปิดประเทศให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการซื้อขายทองคำระหว่างประเทศผ่าน Shanghai Gold Exchange ซึ่งเพิ่งเปิดคลังทองคำแบบออฟชอร์ รวมถึงเดินหน้าดึงดูดประเทศต่างๆ ให้ฝากทองคำในคลัง Bonded Warehouse ของจีน และอาจเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางและกองทุนอธิปไตยนำทองคำมาเทรดเหมือนที่เคยทำในลอนดอน เพื่อลดบทบาทศูนย์กลางตลาดทองคำแบบดั้งเดิมที่พึ่งพาดอลลาร์.
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาทองคือความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และกระแสการหลีกเลี่ยงสินทรัพย์สกุลเงินหลัก (fiat currency) โดยราคาทองได้ผ่านจุด 2,000 ดอลลาร์ในช่วงวิกฤตโควิด-19 และขยับใกล้ 3,000 ดอลลาร์ในเดือนมีนาคมจากแรงกดดันด้านภาษีของทรัมป์ ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่รัฐ นักลงทุนทั่วไปก็หันมาลงทุนทองคำในช่วงเวลานี้ โดย ETF และธนาคารกลางมีสัดส่วนการถือครองเกินหนึ่งในห้าของความต้องการทั่วโลก.
นอกจากทองคำแล้ว เงิน (Silver) ก็ได้รับอานิสงส์จากแนวโน้ม “debasement trade” เข้าสู่สินทรัพย์ทางเลือกเช่น Bitcoin โดยเงินขยับสู่สถิติใหม่ที่ 50 ดอลลาร์ต่อออนซ์.
นโยบายของจีนมุ่งเน้นดึงทองคำเข้ามาในประเทศให้มากขึ้น เสริมความเชื่อถือในสกุลเงินหยวน และเปิดหน้าตลาดใหม่ โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การถือทองคำสำรองจะเสริมความมั่นคงของหยวนในระยะยาวและสร้างแรงจูงใจให้ต่างชาติเลือกฝากสำรองไว้ในตลาดจีน.
การเดินเกมของจีนในตำแหน่งศูนย์กลางคลังทองคำโลกเช่นเดียวกับลอนดอน มีเป้าหมายสร้างเครือข่ายการค้าสินทรัพย์ที่พ้นอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองแบบตะวันตก ทั้งนี้มีประเทศพันธมิตร เช่น South Africa (South African Reserve Bank) และ Serbia ที่พิจารณาแนวคิดนี้ สอดคล้องกับการปรับแนวการเก็บทองของประเทศในกลุ่ม BRICS ซึ่งปัจจุบันครองสัดส่วนเศรษฐกิจโลกกว่า 40%.
ในอีกด้านหนึ่ง รัสเซียได้เร่งสะสมทองคำตั้งแต่ปี 2014 หลังถูกคว่ำบาตรจากตะวันตก และใช้ทองคำเป็นเครื่องมือหลักในการค้ำประกันเสถียรภาพระบบการเงิน กรณีศึกษานี้ส่งผลต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายของจีนที่ปรับลดการถือครอง US Treasury ลงกว่า 41% ตั้งแต่ปี 2015 และเดินหน้าซื้อทองคำต่อเนื่องในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา แม้ตัวเลขเปิดเผยจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก (จีนถือทองประมาณ 9% ของสำรอง เทียบกับค่าเฉลี่ย 20%) แต่แนวโน้มการสะสมยังมีช่องว่างมากเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ.
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าแรงผลักดันจากธนาคารกลางและนักลงทุน รวมทั้งการเปลี่ยนสำรองบางส่วนจากพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นทองคำ อาจผลักดันตลาดเพิ่มขึ้นถึง 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในอนาคต โดยจีนเดินเกมสร้างระบบการชำระเงินทางเลือกควบคู่กับการสะสมทองคำ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงระบบการเงินโลกที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ.
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.bloomberg.com/news/features/2025-10-09/gold-s-rally-is-helping-china-build-a-world-less-dependent-on-trump-us-dollar
------------------------------------
ทองคำพุ่งไม่หยุด 'คาดแตะ $5,000' เหตุภาวะลดการพึ่งพาดอลลาร์-วิกฤตเศรษฐกิจ G7 ธนาคารกลางและ BRICS ทุ่มซื้อต่อเนื่อง
11-10-2025
Asia Times รายงานว่า ทองคำ $5,000: ไม่ใช่เพียงแค่ “ความคลั่ง” แต่คือกลไกใหม่ในโลกที่กำลังลดการพึ่งพาดอลลาร์ ขณะที่การล่มสลายของศรัทธาในสกุลเงินหลักและตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ กลายเป็น “ปัจจัยขับเคลื่อนระดับโลก”
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยแรงกดดัน หนี้รัฐบาลสหรัฐฯ (US government debt) ได้ทะลุ 37 ล้านล้านดอลลาร์ ส่งผลให้สถาบันจัดอันดับต้องทบทวนความน่าเชื่อถืออีกครั้ง ในยุโรป ฝรั่งเศส (France) เผชิญวิกฤตหนี้การเมืองร้อนแรง ขณะที่ IMF ตรวจสอบสำรองเงินวิเคราะห์เสถียรภาพ ส่วนเยอรมนี (Germany) ผลผลิตอุตสาหกรรมตก 4.3% ในเดือนเดียว นักวิเคราะห์ในลอนดอน (London) ถามกันว่า สหราชอาณาจักร (UK) จะยืนอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่ง IMF แบบยุค 70 ได้นานแค่ไหน
ในเอเชีย ญี่ปุ่น (Japan) กับภาวะ “เยน (yen)-carry trade” วิกฤตใหม่ค่าเงินเยนอ่อนเหนือระดับ 153 เยนต่อดอลลาร์ ประเทศอื่นๆ เตรียมเผชิญกับกระแสเงินทุนผิดปกติ
Goldman Sachs คาดการณ์ทองคำที่ $5,000 ต่อออนซ์จากระดับ $4,000 ปัจจุบัน มองวิกฤติเงินกระดาษ (“fiat currency”: “สกุลเงินที่ไม่ได้มีทองคำหรือสินทรัพย์รองรับโดยตรง”) และตลาดโลกตื่นตัวเรื่องความเสี่ยงมากขึ้น
นักลงทุนเทขายดอลลาร์และเงินกระดาษอื่นๆ เพราะความเสี่ยงเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนทางการเมือง บวกกับดอกเบี้ยลดลง ทำให้สินทรัพย์จริงอย่างทองคำ (safe haven: “สินทรัพย์ปลอดภัยใช้ป้องกันความเสี่ยง”) กลับมาโดดเด่น ข้อมูลของ New York Fed แสดงว่า ธนาคารกลางชั้นนำทั่วโลกลดถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่าทศวรรษ
ผลกระทบ “ภาษีทรัมป์” (Trump tariffs: “นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดันตลาดพันธบัตรสหรัฐฯให้ง่อนแง่น”) สหรัฐฯขายพันธบัตรลำบากขึ้น ปัญหาลามญี่ปุ่นที่ Bond Auction ร่วงหนัก ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสูงสุดในรอบยาว
แรงเทขายพันธบัตรและความเสื่อมศรัทธาใน Fed (Federal Reserve: “ธนาคารกลางสหรัฐฯ”) ชัดเจนขึ้น เพราะทรัมป์ส่งสัญญาณจะปลด Jerome Powell (ประธาน Fed) และ Lisa Cook (คณะกรรมการ Fed) ความเป็นอิสระของระบบการเงินอ่อนแอ Goldman Sachs- HSBC ระบุถ้าเงินแค่ 1% จากตลาดพันธบัตรย้ายเข้าทอง ราคาจะพุ่งแตะเป้าที่วางไว้
ผู้เชี่ยวชาญจาก JP Morgan, LPL Financial, Bank of America ระบุแรงซื้อทองยังมาได้ต่อเนื่องหากเฟดลดอัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอในปี 2026–2027 ขณะที่ Adam Turnquist จาก LPL Financial ชี้ FOMO (fear-of-missing-out: “กระแสกลัวตกรถรอบใหญ่ในสินทรัพย์หลบภัย”) เป็นแรงถีบสำคัญรอบนี้
ราคาทองคำช่วง 2025–2026 จึงไม่ใช่แค่การเก็งกำไรท่ามกลางฟองสบู่เทคโนโลยีใหม่ (AI bubble: “ฟองสบู่การลงทุนในกลุ่มปัญญาประดิษฐ์”) หรือวิกฤติหนี้สาธารณะ Ray Dalio, Jamie Dimon, Kristalina Georgieva ต่างเตือนถึงความเปราะบางของระบบการเงินและเศรษฐกิจโลก
ธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China: “PBOC”) ซื้อทองต่อเนื่อง 11 เดือนรวด และกระแสสะสมทองกลางโลกเร่งตัวขึ้นในกลุ่ม BRICS (“กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้”) และ Emerging Markets (“ตลาดเกิดใหม่”: กลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่เติบโตเร็วแต่ยังมีความเสี่ยงสูง) ในยุค de-dollarization (การลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ)
ธนาคารกลางประเทศคู่แข่งสหรัฐ เช่น จีน อียิปต์ ฮังการี อินเดีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ตุรกี อุซเบกิสถาน และรัฐอ่าว ล้วนทยอยสะสมทองคำในฐานะ buffer สำคัญเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ ค่าเงินผันผวน และแรงกดดันภูมิรัฐศาสตร์
แรงกดดันของทรัมป์ต่อ BRICS เพื่อไม่ให้ใช้สกุลเงินอื่นเป็นทางเลือกนอกดอลลาร์ กลับเป็นการเร่งให้กระแส de-dollarization มากขึ้น บนสมมติฐานว่า “ดอลลาร์ยังเป็นสกุลหลัก” ด้วยเหตุผลสภาพคล่องขั้นสูง–สื่อกลางการปล่อยกู้โลก แต่เมื่อปัจจัยลบสะสมและ Fed ไม่เป็นอิสระ กิจกรรม de-dollarization ก็เร่งแรง (dedollarization: “การขนเงินทุนออกจากดอลลาร์ไปยังสินทรัพย์อื่น เช่น ทองคำหรือยูโร”)
การพุ่งขึ้นของราคาทองคำจึงสะท้อนถึงความต้องการ "safe haven" ใหม่ทั่วโลก พร้อมกับ price target $5,000/ออนซ์ ที่อาจกลายเป็นจริงได้หากการปรับพอร์ตครั้งใหญ่เกิดขึ้นในยุคสุดท้ายของดอลลาร์เสื่อมมนต์ขลัง
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/10/5000-gold-logic-not-lunacy-in-a-de-dollarizing-world/