Thailand
1/4/2024
สี จิ้นผิงของจีน หรือ วลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย ไม่เคยออกมาพูดอย่างเป็นทางการว่าเงินยูเอสดอลลาร์กำลังหมดอายุขัยไป หรือหมดประโยชน์แล้วในการทำหน้าที่เงินสกุลหลักโลก แต่ผู้ที่ออกมาพูดว่ายุคของความยิ่งใหญ่ของดอลลาร์กำลังสิ้นสุดลง และถึงเวลาแล้วที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆจะร่วมมือกันสร้างเงินสกุลโลกใหม่เพื่อมาทดแทนดอลลาร์ คือนาย มาร์ค คาร์เนย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของอังกฤษ
นายคาร์เนย์ใช้เวทีสัมนาของธนาคารกลางสหรัฐที่ Jackson Hole รัฐไวโอมิงในวันที่ 23 สิงหาคม ปี 2019 ที่ผ่านมา เพื่อส่งสัญญาณว่า ได้เวลาเอาเงินดิจิทัลโลก (global digital currency)มาแทนดอลลาร์ เพื่อที่จะแก้ปัญหาเงินฝากล้นระบบ และไม่มีการลงทุนในช่วงเวลา10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเงินเฟ้อต่ำ และดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เขาบอกว่าสถานการณ์ของดอลลาร์คล้ายกับเงินปอนด์สเตอร์ลิงที่มีอิทธิพลเหนือตลาดการเงินเมื่อ100 กว่าปีมาแล้ว โดยดอลลาร์มาถึงจุดที่กลายเป็นอุปสรรคของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ทางแก้คือให้ประเทศต่างๆร่วมมือกันสนับสนุนเงินดิจิทัลโลกเพื่อที่จะปลดปล่อยดอลล่าร์ที่อยู่ในบัญชีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัฐบาลต่างๆที่สำรองเอาไว้เวลายามยาก ให้มีการเอาออกมาใช้
คาร์เนย์บอกว่า เงินดอลล่ารไม่สามารถทำหน้าที่เงินสกุลโลกได้อีกต่อไปเนื่องจากมันจะสร้างความไร้เสถียรภาพในระบบการเงินโลกที่กำลังเผชิญกับกับดักสภาพคล่องจากภาวะดอกเบี้ยที่ต่ำ และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังถูกจัดระเบียบใหม่ แต่เงินดอลลาร์กระดาษยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิม เหมือนกับตอนที่ระบบ “เบรดตันวูดส์” พังทลายในปี1971 จากสหรัฐยกเลิกการผูกค่าดอลลาร์กับทองคำทำให้ดอลลาร์กลายเป็นเงินกระดาษ
นายคาร์นีย์ บอกว่า กลุ่มประเทศเกิดใหม่ได้เพิ่มส่วนแบ่งกิจกรรมของเศรษฐกิจโลกเป็น 60% จาก 45% ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อสิบปีก่อน แต่เงินดอลลาร์ยังคงถูกใช้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของการสั่งซื้อสินค้าระหว่างประเทศ - มากกว่าส่วนแบ่งการนำเข้าสินค้าโลกถึงห้าเท่าของสหรัฐฯ - กระตุ้นให้เกิดความต้องการสินทรัพย์ดอลลาร์และทำให้หลายๆ ประเทศต้องรับความเสี่ยงของการผันผวนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ผลพวงจากปัญหาระบบการเงินที่มีดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักทำให้เกิดลัทธิกีดกันการค้า และนโยบายประชานิยมขึ้นในโลก
นายคาร์นีย์เตือนว่า ความไม่สมดุลของอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาเหมือนกับที่โลกกำลังเผชิญในเวลานี้สอดคล้องกับการเกิดสงครามวิกฤตการณ์ทางการเงิน และการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในระบบธนาคาร
ทางออกที่คาร์นีย์เสนอคือให้ประเทศต่างๆ ใส่เงินเข้าไปเพิ่มทุนให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศเป็นเงิน$3ล้านล้าน ซึ่งจะเป็นการดีกว่าที่แต่ละประเทศจะปกป้องระบบการเงินของตัวเองด้วยการถือครองหนี้หรือพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐ
วิธีการนี้จะเป็นการสร้างระบบการเศรษฐกิจโลกแบบหลายขั้ว ที่จำเป็นต้องมีระบบการเงินระหว่างประเทศที่สมบูรณ์ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF จะเป็นผู้ออกเงินดิจิทัล ซึ่งนายคาร์นีย์เรียกว่า Synthetic Hegemonic Currency
นายคาร์เนย์กล่าวต่อไปว่า แม้ว่ามีแนวโน้มที่เงินหยวนของจีนจะมีศักยภาพที่จะเป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไปเพื่อแข่งกับดอลลาร์ แต่คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ทางออกที่ดีที่สุดคือระบบการเงินแบบหลายขั้วที่หลากหลาย โดยที่ให้ IMF เป็นเจ้ามือ และเทคโนโลยีสามารถเอามาใช้ในการสร้างเงินดิจิทัลได้
แต่จีนและรัสเซียจะไม่เล่นตามเกมนี้ เพราะว่า IMF ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของตะวันตก
อย่างไรก็ดี มันเป็นเรื่องค่อนข้างจะชัดเจนว่าอังกฤษสนับสนุนดอลลาร์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกได้ และเมื่อดอลลาร์หมดประโยชน์อังกฤษก็สามารถฆ่าดอลลาร์ได้เหมือนกัน เพื่อรักษาอำนาจในการควบคุมระบบการเงินโลกต่อไปผ่าน IMF ที่เป็นองค์กรที่มีอำนาจเหนืออธิปไตยทางการเงินของประเทศต่างๆ อังกฤษครองโลกมาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 ผ่านลัทธิล่าอาณานิคม และใช้เงินปอนด์เป็นเงินสกุลหลักของโลก
เนื่องจากอังกฤษเป็นประเทศเล็กๆ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ หรือมีจำนวนประชาชนมาก จำเป็นต้องใช้ดินแดนของโลกใหม่เป็นแหล่งวัตถุดิบ และตลาด และหนุนให้อังกฤษเป็นมหาอำนาจโลกทางเศรษฐกิจ อังกฤษเป็นเกาะที่มีความรู้สึกแปลกแยกมาตลอดกับยุโรปแผ่นดินใหญ่ โลกใหม่ของทวีปอเมริกาเหนือ หรือ นิวเวิลด์ จึงกลายเป็นนิวแอทแลนตีสของอังกฤษที่ต้องการใช้อเมริกาเหนือเป็นฐานเพื่อกลับมาครอบงำยุโรป หรือ โลกใบนี้อีกต่อหนึ่ง
แผนการสร้างนิวแอทแลนติสดำเนินมาตั้งแต่ควีนเอลิซาเบทที่1 (ค.ศ. 1533- 1603) มาเจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยควีนวิคเตอเรีย( ค.ศ. 1819-1901 ) ที่อังกฤษมีดินแดนมากมายบนโลกจนพระอาทิตย์ไม่เคยตกดินและต่อเนื่องมาถึงยุคปัจจุบัน
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษรู้ดีว่า ไม่สามารถรักษาอาณานิคมได้อีกต่อไป เพราะว่าต้องใช้ทหาร และกำลังพลเป็นจำนวนมากในการดูแลอาณานิคมไม่ให้กระด้างกระเดื่อง เมื่อไม่สามารถรักษาอาณานิคมได้ จะรักษาปอนด์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกไม่ได้อีกต่อไปเหมือนกัน จึงได้ส่งเสริมให้ดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกแทน และปล่อยให้อาณานิคมได้รับเอกราช แต่หันมาควบคุมประเทศอาณานิคมเหล่านี้แบบแยบยลผ่านระบบคอมมอนเวลท์(Commonwealth)
ระบบการเงินของสหรัฐตกอยู่ในมือของอังกฤษ และพวกอิลิทยุโรป จากการที่อังกฤษสามารถเข้าไปตั้งธนาคารกลาง หรือ US Federal Reserveได้ในปี 1913 แม้ว่าจะล้มเหลวในความพยายามที่จะตั้งธนาคารกลางอีแร้ง2ครั้งในศตวรรษที่ 19 เพราะว่าตั้งแล้วก็อยู่ได้ไม่นาน คนอเมริกันไม่เอา เพราะว่าอยู่ดีๆ จะให้นายธนาคารมาผูกขาดการพิมพ์ดอลลาร์ได้อย่างไร
กฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐกำหนดชัดเจนว่า มีเพียงสภาคอนเกรสเท่านั้นที่มีอำนาจในการออกเงินตรา เมื่อตั้งธนาคารกลางสหรัฐที่เอกชนวอลล์สตรีท และสถาบันการเงินของยุโรปเป็นผู้ถือหุ้นได้อังกฤษจึงสามารถควบคุมระบบการเงินของสหรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนเงินปอนด์ ผ่านระบบ Bretton Woods หรือ ระบบมาตรฐานทองคำโดยให้ดอลลาร์ผูกกับทองคำ ในเวลานั้นสหรัฐมีทองคำสำรอง 26,000 ตัน หรือ1ใน 3ของโลก ก่อนหน้าสงครามโลกจะเกิด
มีขบวนการลับที่ขนเอาทองจากยุโรปและประเทศต่างๆ ทั่วโลกมากองบนหน้าตักของธนาคารกลางสหรัฐ เพื่อที่จะสร้างภาพว่าสหรัฐมั่งคั่งที่สุดในโลก และเงินดอลลาร์จะเป็นเงินสกุลโลกใหม่ที่มีความมั่นคงมากที่สุด แสดงว่าพันธมิตรยุโรปรู้ว่าจะชนะสงครามโลกก่อนสงครามโลกจะเกิดด้วยซ้ำ จึงมีการเตรียมการให้ดอลลาร์ขึ้นมาทำหน้าที่เงินสกุลโลกแทนเงินปอนด์
เงินสกุลต่างๆทั่วโลกเมื่อผูกกับดอลลาร์ที่ผูกกับทองคำอีกต่อหนึ่งในระบบมาตรฐานทองคำของ Bretton Woods จึงกลายเป็นเงินบริวารของสหรัฐโดยปริยาย เท่ากับว่าเงินสกุลทั่วโลกที่ผูกกับดอลลาร์จะผูกกับทองคำทางอ้อม ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบคงที่ เพราะว่าค่าเงินผูกกับทองคำทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวน้อยมาก
ในขณะเดียวกันระบบนี้สร้างวินัยการเงินการคลังของแต่ละประเทศไม่ให้เพิ่มปริมาณเงินมากกว่าทองคำสำรองที่ถืออยู่ แต่เนื่องจากสหรัฐมีการใช้จ่ายงบประมาณเกินตัว และเพื่อรักษาความเป็นมหาอำนาจโลก ทำให้ต้องพิมพ์ดอลลาร์ออกมามากเกินกว่าสำรองทองคำ ทำให้เจ้าหนี้ หรือผู้ถือดอลลาร์ไม่มั่นใจ เอาดอลลาร์ไปขึ้นทองคำ สหรัฐกลัวทองคำจนหมดตู้เชฟ เพราะมีแต่ธนาคารกลางเอาดอลลาร์มาแลกคืน จึงมีการให้ประธานาธิบดีนิกสันออกมาประกาศเบี้ยวหนี้ในเดือนสิงหาคม ปี 1971
โดยนิกสันบอกว่าใครถือดอลลาร์ให้ถือต่อไป แต่จะเอามาแลกทองคำไม่ได้ เพราะว่าขอปิดหน้าต่างโรงรับจำนำแลกทองชั่วคราว คำว่าชั่วคราวดำเนินมาถึงตอนนี้กว่า 50 ปีแล้ว
ในปีเดียวกันนั้น รมว.คลังสหรัฐ นาย John Connally กล่าวในเวทีประชุมกลุ่ม G-10 ที่กรุงโรมที่มีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายดอลลาร์ของสหรัฐอย่างรุนแรง โดยบอกว่าดอลลาร์เป็นเงินตราของเราแต่มันเป็นปัญหาของคุณ (The dollar is our currency, but it is your problem.) หมายความว่าดอลลาร์เป็นเงินของผมแต่คุณเสือกโง่ไปใช้เอง
แต่เมื่อดอลลาร์ไม่มีทองคำหนุนหลังจะยืนขาลอยอย่างนี้ได้ไม่นาน สหรัฐจึงมีนโยบายเอาบ่อน้ำมันของซาอุฯมาหนุนดอลลาร์ ด้วยการให้ซาอุฯและประเทศตะวันออกกลางขายน้ำมันเป็นดอลลาร์ แลกกับการให้การคุ้มครองความมั่นคงและจะขายอาวุธ ให้ราคาย่อมเยาว์ ทุกประเทศจำต้องใช้น้ำมัน จึงต้องสำรองดอลลาร์เพื่อซื้อน้ำมันทำให้เกิดดีมานด์เทียมสำหรับดอลลาร์ เท่านั้นไม่พอ สหรัฐสร้างญี่ปุ่น เยอรมัน และประเทศต่างๆให้เข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกจะได้ขายของไปยังตลาดสหรัฐ
เมื่อขายได้ดอลลาร์มา ก็ให้รีไซเคิลดอลลาร์นี้กลับไปยังสหรัฐ ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทำให้สหรัฐใช้จ่ายงบประมาณเกินตัวได้ในการรักษาความเป็นมหาอำนาจโลก ดอลลาร์รีไซเคิลจึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการยืดอายุดอลลาร์ผ่านการสร้างดีมานด์เทียม และทุกประเทศต้องใช้ดอลลาร์ในการค้าขาย หรือ ทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ
จีนจึงเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดของสหรัฐ ในการต่อยอดดอลลาร์รีไซเคิล เนื่องจากมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ และมีการส่งออก และการค้าระหว่างประเทศที่ครอบคลุมไปทั่วโลก แต่ดอลลาร์รีไซเคิลนี้กำลังจะไปต่อไม่ได้ เพราะว่าสหรัฐมีการสร้างหนี้ หรือพิมพ์เงินเพิ่มยิ่งมากกว่าเดิม โดยไม่คำนึงถึงวินัยการเงินการคลังทำให้ความเชื่อมั่นในดอลลาร์ลดลง ยิ่งมีเรื่องกับรัสเซียและจีนทำให้มีการดัมพ์ดอลลาร์ และสร้างแนวร่วม BRICS เพื่อปลดแอกจากอิทธิพลของดอลลาร์
ล่าสุดฝ่าย G7 กำลังสร้างแพลตฟอร์มผ่านระบบของ SWIFT เพื่อรองรับการใช้เงินCBDCในอีก 12-14 เดือนข้างหน้า หมายความว่าดอลลาร์ในปัจจุบันจะถูกยกเลิกเพื่อเปิดทางให้มีการใช้ดอลลาร์ดิจิทัลแทน พร้อมกับการล้างหนี้ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ส่วน BRICS จะมีแพลตฟอร์ม BRICS Pay ซึ่งจะเป็นระบบชำระเงินที่เป็นเอกเทศจาก SWIFT เพื่อสร้างวิถีทางการเงินของตัวเอง หลุดออกจากการครอบงำของวอลล์สตรีท และ IMF
ท้ายที่สุด ผู้ใดคุมเงินสกุลหลักของโลก หรือ เขียนกฎเกณฑ์ของระบบการเงินโลก ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ครองโลก
By Thanong Khanthong, Editor
IMCT News
© Copyright 2020, All Rights Reserved