Thailand
25/3/2024
ที่ผ่านมา จีนติดกับดักยูเอสดอลล่าร์ ดิ้นไม่ออกเหมือนกับญี่ปุ่นและประเทศที่เน้นการส่งออกท้ังหลายรวมท้ังประเทศไทย
ตลอดระยะเวลา 40 กว่าปีที่ผ่านมาจีนเอาหยาดเหงื่อเพื่อแลกกับรายได้จากการส่งออกในรูปดอลล่าร์ และรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กลับไปยังสหรัฐผ่านการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐสามารถใช้จ่ายเกินตัวเพื่อรักษาความเป็นมหาอำนาจแต่ผู้เดียว
ในปี2011 จีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐสูงถึง $1.3ล้านล้าน และมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกถึง$4ล้านล้าน การถือทรัพย์สินดอลล่าร์ในระดับสูงส่วนหนึ่งก็เพื่อที่จะกดอัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนให้อ่อนค่าเพื่อที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของจีน รวมท้ังแรงงานจีน เพื่อต่อยอดในการพัฒนาอุตสาหกรรม นอกจากนี้การมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศทำให้เงินหยวนมีความน่าเชื่อถือ เพราะว่านักลงทุนต่างประเทศที่ลงทุนตั้งโรงงาน และเอาเทคโนโลยีมาถ่ายทอดให้จีนมีความมั่นใจว่าจีนมีสำรองดอลล่าร์เพียงพอเวลาจะโยกเงินกลับประเทศ
จีนติดกับดักดอลล่าร์ เพราะว่าต้องกดค่าหยวนเพื่อที่จะได้ขายของในราคาถูก และพัฒนาอุตสาหกรรม และต้องช่วยหนุนดีมานด์เทียมของดอลล่าร์ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อกินดอกเบี้ย ในขณะที่ภายในประเทศแรงงานจีน หรือเศรษฐกิจจีนต้องรับเคราะห์ในเรื่องของเงินเฟ้อที่ค่อยๆกลัดกร่อนอำนาจซื้อ
แต่จีนก็ต้องยอมทนติดกับดักนี้ไปก่อน เพราะว่าจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมาก หรือมีมากกว่าประชากรของทวีปอเมริกาใต้ ยุโรป อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลียรวมกันเสียอีก เมื่อมีประชากรมากที่ต้องเลี้ยงดู ต้องหางานให้ทำ ในระยะแรก จีนต้องกอบโกยดอลล่าร์เข้าประเทศให้ได้มากๆก่อน และดันจีดีพีให้สูงทะลุฟ้า เพื่อที่จะแก้ปัญหาความยากจน และไล่ตามประเทศอื่นด้านการพัฒนาเศรษฐกิจให้ทัน
ถ้าหากว่าจีนจะทิ้งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ไม่รีไซเกิ้ลดอลล่าร์ จะทำให้ขาดทุนจากการถือพันธบัตรและจะทำให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์กับสหรัฐที่ดำเนินมาอย่างค่อนข้างราบเรียบในระยะเวลา 30ปีแรกหลังการเปิดประเทศต้อนรัฐเงินทุนต่างชาติในปี 1979 เพราะว่าสหรัฐพึ่งพาจีนในการหนุนดีมานด์เทียมของดอลล่าร์
เพื่อให้ดอลล่าร์มีเสถียรภาพ จีนรู้ดีว่าสหรัฐก่อหนี้โดยไม่มีความตั้งใจที่จะใช้หนี้ เพราะว่าจะออกพันธบัตรใหม่ไปชำระหนี้เก่าไปเรื่อยๆ เนื่องจากการใช้จ่ายที่เกินตัวในการรักษาระบบสวัสดิการสังคม และระบบทหารนำที่ต้องมีการก่อหนี้มหาศาลเพื่อดูแลแสนยานุภาพทางทหาร
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลามาถึง ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น หลังจากสหรัฐประสบกับวิกฤติการเงินในปี 2008 จีนเริ่มที่จะขยับนโยบายออกจากอิทธิพลของสหรัฐ ท้ังทางด้านการเงินและเศรษฐกิจ แต่จะต้องทำควบคู่ไปกับการสร้างแสนยานุภาพทางทหารของจีนให้เข้มแข็งพอที่จะรับมือกับแรงกดดันจากสหรัฐที่จะไม่ยอมให้ประเทศใดออกจากระบบดอลล่าร์กระดาษง่ายๆ
จีนไม่ต้องการติดกับดักดอลล่าร์ดีมานด์เทียมตลอดไป แต่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการถือพันธบัตรสหรัฐไปถือทรัพย์สินอย่างอื่นแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำ เพราะว่าอยู่ดีๆใครจะไปพิมพ์ทองคำเพิ่มเหมือนพิมพ์เงินกระดาษเพิ่มไม่ได้ การเพิ่มหนี้หรือการเพิ่มปริมาณเงินดอลล่าร์ของสหรัฐจะทำให้ดอลล่าร์มีค่าเสื่อมลงจากเงินเฟ้อ
ไปๆ มาๆ ดอลล่าร์ที่จีนแบกรับถืออยู่มีแต่จะขาดทุน เพราะว่าดอกเบี้ยให้ผลตอบแทนต่ำมาก และถูกเงินเฟ้อกินไปหมด การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังเดือนมิถุนายนปี 2011 ซึ่งในตอนนั้นจีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมากที่สุดในโลกถึง$1.3 ล้านล้าน หรือเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ญี่ปุ่นถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐน้อยกว่าจีนเล็กน้อย แต่ญี่ปุ่นแตกต่างจากจีนตรงที่ไม่ต้องการออกจากกับดักดอลล่าร์ เพราะว่านโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของญี่ปุ่นถูกสหรัฐควบคุมอย่างเหนียวแน่นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2เรื่อยมา
หลังจากปี 2011 จะเห็นได้ว่า การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของจีนเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ จนตัวเลขล่าสุดจีนถือครองพันธบัตรสหรัฐเพียง$800พันล้าน เพราะว่าจีนเอาดอลล่าร์ไปซื้อทรัพย์สินอย่างอื่นแทน วิกฤติวอลล์สตรีท 2008ทำให้จีนรู้ว่าไม่สามารถจะพึ่งพาสหรัฐ รวมท้ังการส่งออกได้อีกต่อไป ที่สำคัญจะอยู่กับดักดอลล่าร์อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆไม่ได้ ผลประโยชน์ของชาติจะเสียหาย
แต่การขายพันธบัตรสหรัฐต้องทำอย่างไม่กระโตกกระตาก มิเช่นนั้นจะทำลายเสถียรภาพของระบบการเงินโลก และจีนจะเสียประโยชน์ หรือขาดทุนหนักไปด้วย
มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐกับจีนมีข้อตกลงลับระหว่างกัน โดยสหรัฐรู้ตัวว่าตัวเองทำ QEเพิ่มปริมาณเงินเพื่ออุ้มระบบการเงิน และก่อหนี้ที่ไม่มีเพดานทำให้ผู้ถือดอลล่าร์ไม่สบายใจ จึงจำต้องผ่องถ่ายทองคำไปให้จีนส่วนหนึ่งเพื่อให้จีนสบายใจในระดับหนึ่ง โดยสหรัฐจะหาแหล่งทองคำจากที่ต่างๆเพื่อแลกกับดอลล่าร์ที่จีนได้มาจากการส่งออก แต่จีนต้องยังคงซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐต่อเนื่องแบบเนียนๆต่อไป แม้ว่าปริมาณจะลดลงไป เพื่อให้เกมเก้าอี้ดนตรีของดอลล่าร์ดีมานด์เทียมสามารถยื้อต่อไปได้
จีนแอบซื้อทองคำมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาทำให้นักวิเคราะห์ทองคำค่ายตะวันตกเชื่อว่าจีนน่าที่จะมีทองคำสำรองอยู่ 20,000ตัน แต่ความจริงแล้วน่าที่จะมีมากกว่านั้น หรืออาจจะมี 30,000 ตันก็ได้ เพราะว่าจีนก็ผลิตทองคำได้เองแต่ไม่ส่งออกทองคำ และมีการตะลุยซื้อทองคำเพิ่มเติมโดยไม่บอกใคร แม้ว่าการค้าระหว่างประเทศของทั้งคู่จะเพิ่มขึ้น หรือจีนมีรายได้ดอลล่าร์เพิ่มขึ้นก็ตาม แสดงว่าจีนไม่ต้องการอยู่ในกับดักดอลล่าร์ที่มีการสร้างดีมานด์เทียมอีกต่อไป พร้อมกับมีการปรับเปลี่ยนนโยบายไม่เน้นการส่งออก ไม่พึ่งพาสหรัฐ โดยนโยบายนี้เด่นชัดขึ้นเมื่อสี จิ้นผิงก้าวขึ้นมามีอำนาจในปี 2012 เพราะว่าการกดหยวนให้อ่อนค่าเกินจริงตลอดระยะเวลาที่ยาวนานที่ผ่านมาเพื่อหนุนภาคการส่งออก และอุ้มดอลล่าร์ไปในตัวทำให้ภาคส่งออกรวย ซึ่งส่วนมากก็เป็นบริษัทต่างชาติที่ใช้จีนเป็นฐานส่งออก และช่วยดันจีดีพีให้สูง และเพิ่มการจ้างงาน แต่คนจีนส่วนใหญ่เสียประโยชน์ เพราะว่าหยวนที่อ่อนค่าทำแรงงานจีนมีราคาถูก และทำให้เกิดเงินเฟ้อที่กัดกร่อนอำนาจซื้อของคนจีน
ประธานาธิบดีสีสานต่อแนวนโยบายที่จะออกจากกับดักดอลล่าร์ โดยปรับเปลี่ยนนโยบายการส่งออกให้หันมาเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจภายในควบคู่กันไป
ให้มีการเพิ่มค่าแรงทำให้ค่าแรงของจีนเพิ่ม 4 เท่าเมื่อเทียบกับยุค1990sในขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันค่าแรงคนงานอเมริกันไม่ได้เพิ่มเลยเมื่อหักเงินเฟ้อ
การเพิ่มอำนาจซื้อของคนจีนทำให้เกิดชนชั้นกลาง กำจัดปัญหาคนยากจน โดยคนจีน 800ล้านคนถูกยกระดับออกจากความยากจน สร้างซับไพลหรือนวัตกรรมใหม่ พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อพึ่งพาตัวเอง แทนการพึ่งพาสหรัฐที่ต้องจำใจทนอยู่ในกับดักดอลล่าร์เหมือนอย่างในอดีต นโยบายดัมพ์ดอลล่าร์จึงเป็นนโยบายปลดแอกที่สำคัญของจีนในการไม่พึ่งพาสหรัฐต่อไป
พร้อมกับปรับตระกร้าเงินของการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนโดยเพิ่มเงินสกุลอื่นๆและลดอิทธิลของดอลล่าร์
แล้วจีนจะดัมพ์ดอลล่าร์ไปลงที่ไหน ถ้าไม่ใช่โครงการพัฒนาในแอฟริกา ซึ่งจีนได้กลายเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุด รวมท้ังลงทุนในเส้นทางสายไหมที่จะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน $3ล้านล้านในระยะเวลาข้างหน้าเพื่อเชื่อมโยงเอเชีย ยุโรปและแอฟริกาเข้าด้วยกัน โดยโครงการเส้นทางสายไหมนี้จะตัดหางปล่อยวัดสหรัฐที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ และทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจของโลกทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 โดยที่ไม่มีสหรัฐอเมริกาจีนก็อยู่ได้
นอกจากนี้ เมื่อเศรษฐกิจจีนมีขนาดใหญ่ขึ้น ความน่าเชื่อถือในหยวนก็เพิ่มเป็นเงาตามตัว ทำให้จีนสามารถปล่อยกู้เป็นเงินหยวนได้ หรือสามารถใช้หยวนชำระสินค้าหรือซื้อน้ำมันได้ โดยไม่ต้องแลกหยวนเป็นดอลล่าร์ก่อนซื้อน้ำมันเหมือนอย่างในอดีต การสร้างระบบชำระเงินCross-Border Interbank System และการสร้างพันธมิตรกลุ่มBRICSเพื่อใช้เงินสกุลประจำชาติในการค้าขายกันเองในหมู่ประเทศสมาชิกก็เป็นการปลดแอกจากดอลลาร์กระดาษ ทำให้สหรัฐต้องรีบเร่งดำเนินนโยบายปิดล้อมจีน หรือใช้ไต้หวันเป็นเครื่องมือในการยั่วยุจีนโดยหวังว่าสงครามจะเป็นตัวตัดสินว่าผู้ใดจะดูแลระเบียบเศรษฐกิจ การเงินและการเมืองโลกในวาระข้างหน้า
By Thanong Khanthong, Editor
© Copyright 2020, All Rights Reserved