Thailand
24/3/2024
หลังจากผู้ก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งโจมตีสถานที่จัดคอนเสิร์ตที่Crocus City Hall ใกล้กรุงมอสโควมีผลทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย150คน และบาดเจ็บอีกนับร้อยคนในวันที่ 22มีนาคมที่ผ่านมา ปรากฎว่าสื่อสหรัฐรีบเสนอข่าวว่าพวกไอซิสอยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายที่รุนแรงและท้าทายในคร้ังนี้
ที่น่าสนใจคือ สื่อและเจ้าหน้าที่ของสหรัฐออกมาให้ข่าวว่าไอซิสอยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายก่อนที่เจ้าหน้าที่รัสเซียจะทำการจับกุมผู้ก่อการร้าย และดำเนินการสอบปากคำเสียอีก
CNNรายงานว่า หน่วยข่าวกรองรัสเซียไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการป้องกันการโจมตีเท่านั้น แต่ยังล้มเหลวในการฟังคำเตือนจากสหรัฐฯ ว่ากลุ่มไอซิสกำลังวางแผนโจมตีมอสโก
เอเดรียน วัตสัน โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ “ได้แบ่งปันข้อมูลนี้กับทางการรัสเซียตามนโยบาย “หน้าที่ในการเตือน” ที่มีมายาวนาน
CNNรายงานต่อไปว่า ในการกล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันอังคาร ปูตินตำหนิคำเตือนของอเมริกาว่า “เป็นการยั่วยุ” โดยกล่าวว่า “การกระทำเหล่านี้คล้ายกับแบล็กเมล์โดยสิ้นเชิง และเป็นความตั้งใจที่จะข่มขู่และทำให้สังคมของเราไม่มั่นคง”
แต่Margarita Simonyan หัวหน้าบรรณาธิการของกลุ่มสื่อRossiya Segodnya ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของSputnikออกมาโต้แย้งว่ายูเครนและชาติตะวันตกใช้ปฏิบัติการที่สร้างสถานการณ์เพื่อชักชวนให้ทุกคนเชื่อว่าไอซิสอยู่เบื้องหลังการโจมตีCrocus City Hall
เธอย้ำว่า เจ้าหน้าที่รัสเซียรู้จักชื่อและใบหน้าของผู้กระทำผิดแล้ว และผู้ก่อการร้ายยอมสารภาพทุกทุกอย่างในระหว่างการสอบสวน
ไซมอนยานอธิบายว่าผู้กระทำผิดได้เลือกที่จะทำการโจมตีในลักษณะที่จะทำให้ชาติตะวันตกสามารถใช้เป็นข้ออ้างเพื่อชักชวนประชาคมระหว่างประเทศให้เข้าในว่าไอซิสอยู่เบื้องหลังการโจมตี
เธอกล่าวเสริมว่า “มันไม่เกี่ยวอะไรกับ ISIS เลย แต่มันเป็นชาวยูเครน” ที่ทำงานกันเป็นทีมที่ประสานงานกันอย่างดีกับองค์กรอื่นๆที่มีชื่อย่อที่เป็นที่รู้จักกันดี
ตกลงผู้ก่อการร้ายที่โจมตีสถานที่แสดงคอนเสิร์ตCrocus City Hall คือไอซิส หรือพวกยูเครน? หรือว่ามีใครอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง?
สำหรับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หรือมูลเหตุของแรงจูงใจของการก่อการร้ายที่Crocus City Hall เราพอจะตั้งข้อสังเกตุได้ดังต่อไปนี้:
1. การก่อการร้ายเกิดขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม หรือ5วันหลังจากที่ประธานาธิบดีปูตินชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนที่ท้วมท้นถึงกว่า87% ความมั่นใจของประชาชนชาวรัสเซียนที่มีต่อปูตินเต็มเปี่ยม ประเทศไม่มีความแตกแยก แต่มีชาตินิยมและเอกภาพสูงเนื่องจากทุกคนรู้ดีว่ารัสเซียอยู่ในภาวะสงคราม การก่อการร้ายจึงมุ่งทำลายขวัญและกำลังใจของชาวรัสเซียน และท้าทายความเป็นผู้นำของปูติน ประเด็นนี้ทำให้เชื่อได้ยากว่าไอซิสมีความคิดที่ลึกซึ้งถึงขนาดเลือกจังหวะเวลาในการปฏิบัติการเพื่อทำลายขวัญของรัสเซีย ซึ่งอยู่ในช่วงที่กำลังอยู่ในจุดพีคของอารมณ์ร่วม
2. หลังจากเกิดเหตุร้าย ปูตินเก็บตัวอย่างนิ่งๆ ไม่รีบแถลงข่าว แต่รอจนกว่าเจ้าหน้าที่จะสอบสวนเรื่องราวท้ังหมดจากผู้ต้องหา4คนที่ถูกจับตัวได้เป็นๆ เชื่อได้ว่าน่าจะมีผู้ก่อการร้ายมากกว่านี้อีกมากที่ร่วมในปฏิบัติการที่โหดเหี้ยมในคร้ังนี้ แต่ถูกเจ้าหน้าที่รัสเซียนสังหารตายหมด ปฏิบัติการณ์ที่มีการประสานงานกันอย่างดี และมีความสลับซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเข้ามอสโคว การขนส่งอาวุธ การใช้อาวุธ ผู้ที่อยุ่เบื้องหลังผู้ก่อการร้ายที่มีการติดต่อกัน ทำให้เจ้าหน้าที่รัสเซียตัดประเด็นความเกี่ยวข้องของพวกไอซิสออกไป เพราะว่าไอซิสไม่ได้มีศักยภาพที่จะทำงานใหญ่ และมีการประสานงานในวงกว้างเช่นนี้
3. หลังจากที่รู้เรื่องราวท้ังหมดแล้ว ปูตินจึงออกมาแถลงข่าวว่าพฤติกรรมของอาชญากรเหล่านี้ ที่ลงมือสังหารอย่างเลือดเย็น และยิงชาวรัสเซียในระยะไกล เหมือนที่พวกนาซีเคยทำ “เราจะระบุตัวและลงโทษทุกคนที่อยู่เบื้องหลังการโจมตี เรารู้ว่าภัยคุกคามของการก่อการร้ายคืออะไร...ผู้ก่อการร้ายจะต้องเผชิญกับการแก้แค้น ที่ไม่มีวันลืมเลือน” ปูตินกล่าว
ปูตินบอกว่าปฏิบัติการคร้ังนี้เหมือนพวกนาซีเคยทำ แสดงว่าทางเจ้าหน้าที่รัสเซียนเชื่อว่าพวกยูเครนสายนาซี หรือนาโต้สายนาซีน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างเป็นที่ทราบกัน เป้าหมายของการทำสงครามยูเครนของรัสเซียนอกจากจะทำลายกองทัพยูเครนให้สิ้นซากแล้ว คือการกวาดล้างพวกนักรบนีโอนาซีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเคียฟ และชาติตะวันตกที่ถูกฝังหัวให้ทำลายรัสเซียนสลาฟให้สิ้นซาก
4. เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา สถานทูตสหรัฐฯ ในรัสเซียได้ประกาศว่า "กำลังติดตามรายงานที่กลุ่มหัวรุนแรงมีแผนมุ่งเป้าที่จะกำหนดเป้าหมายการชุมนุมขนาดใหญ่ในมอสโก" รวมถึงคอนเสิร์ตด้วย และเตือนพลเมืองสหรัฐฯ ให้หลีกเลี่ยงสถานที่ดังกล่าว ปรากฎว่าการก่อการร้ายเกิดขึ้นจริงที่สถานที่จัดการแสดงคอนเสิร์ตตามคำเตือนของสถานทูตสหรัฐที่รู้ดีเกินคาด ทำให้เราไม่สามารถตัดสหรัฐออกจากผู้ต้องสงสัยได้ ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและรัสเซียมาถึงจุดต่ำสุด
5. Margarita Simonyan หัวหน้าบรรณาธิการของเครือSputnik ได้ออกมาแย้งว่าผู้ก่อการร้ายไม่ใช่ไอซิส แต่เป็นพวกยูเครน อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้ให้รายละเอียดมากไปกว่าน้ัน โดยเพียงแต่แย้มว่ามีองค์กรชื่อย่ออื่นร่วมด้วย ซึ่งเธออาจจะหมายถึงนาโต้ หรือซีไอเอ
สำหรับประเด็นนี้ เราทราบกันดีว่ายูเครนไม่ได้มีศักยภาพในการก่อการร้าย หรือคิดแผนการใหญ่ระดับนี้ อาจจะร่วมปฏิบัติการ แต่ไม่น่าจะเป็นตัวการ เพราะว่ายูเครนไม่ได้อยู่ในสถานะที่ช่วยตัวเองได้ในเวลานี้ ต้องพึ่งพาตะวันตกท้ังการเงิน และอาวุธยุทโธปกรณ์ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ปูตินได้เปิดเผยว่าทหารยูเครน และทหารรับจ้างต่างชาติจำนวน5,000นายมีการรุกข้ามพรมแดนเข้ามาในรัสเซียเพื่อก่อการร้าย หรือก่อวินาศกรรมก็ตาม แต่ปรากฎว่าถูกเจ้าหน้าที่รัสเซียจัดการอย่างเด็ดขาดมีผลทำให้ทหารยูเครนและทหารรับจ้างต่างชาติเสียชีวิตไป3,000กว่านาย นอกจากนี้ยังมีการใช้โดรนเพื่อโจมตีโครงสร้างพื้นฐานภายในรัสเซียอีกด้วย ซึ่งรัสเซียเชื่อว่าเป็นฝีมือของยูเครน/นาโต้ เป็นที่ทราบกันดีว่า หัวหน้าของนาโต้คือสหรัฐ
6. ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสได้ออกมาให้ข่าวก่อนหน้านี้ว่า ฝรั่งเศสอาจจะส่งทหารเข้าไปในยูเครนเพื่อช่วยรบกับรัสเซีย และมีหลายประเทศที่เป็นสมาชิกของนาโต้เห็นด้วย เนื่องจากตามคำพูดของมาครง “ชัยชนะของร้สเซียในยูเครนเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และจะทำให้ยุโรปหมดความน่าเชื่อถือ” คำพูดของมาครงทำให้สามารถตีความได้ว่า ฝรั่งเศส รวมท้ังนาโต้จะต้องทำทุกอย่างเพื่อหยุดชัยชนะของรัสเซียในยูเครน โดยอ้างว่าหลังจากที่รัสเซียชนะศึกยูเครนแล้ว เป้าหมายทางทหารของปูตินต่อไปคือยุโรป เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้เราไม่สามารถตัดผู้ต้องสงสัยที่ให้การสนับสนุนการก่อการร้ายในมอสโคว หรือนาโต้ออกไปได้
7. สื่อโซเซียลของรัสเซียมีความพยายามที่จะเชื่อมโยงอิสราเอล ว่าอาจจะมีส่วนในการโจมตีรัสเซียในคร้ังนี้ เพราะว่าอิสราเอลผิดหวังที่รัสเซียให้การสนับสนุนอิหร่าน ซึ่งให้การสนับสนุนฮามาส อิสบอเลาะห์ และฮูติอีกต่อหนึ่งในการทำสงครามกับอิสราเอล นอกจากนี้การที่รัสเซีย และจีนสนับสนุนให้ซาอุดิ อาราเบียเข้าไปเป็นสมาชิกของBRICSก็ทำให้อิสราเอลถูกโดดเดี่ยวในตะวันออกกลาง โดยซาอุได้ปฏิเสธการสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล ทำให้อิสราเอลตกอยู่ในวงล้อมของประเทศอาหรับ และประเทศมุสลิมในเวลานี้ และมีโอกาสสูงที่จะแพ้สงคราม หรือไม่สามารถป้องกันประเทศได้
จากเหตุผลท้ังหมด ทำให้มันเป็นการยากที่จะรีบด่วนสรุปว่าไอซิส หรือผู้ก่อการร้ายที่แทบจะสิ้นฤทธิ์แล้วที่โดนัลด์ ทรัมป์เคยพูดเป็นนัยว่า ฮิลลารี่ คลินตัน และบารัค โอบามามีส่วนสร้างให้เจริญเติบโตอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการที่อุกอาจในคร้ังนี้ ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงที่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้มากว่า ก็คือศัตรูที่กำลังรบกับรัสเซียโดยตรง หรือโดยทางอ้อม ณ เวลานี้ผ่านการลงขันร่วมมือกัน
IMCT News
© Copyright 2020, All Rights Reserved