Thailand
ขอบคุณภาพจาก IRNA
24/3/2024
ในขณะที่สื่อตะวันตกพยายามชี้นิ้วไปที่กลุ่ม ISIS ว่า อยู่เบื้องหลังเหตุก่อการร้ายโจมตีคอนเสิร์ตฮอลล์ในรัสเซีย จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย กลับมองว่า เหตุที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงกับสงครามในยูเครน
โจชัว คีตติ้ง นักข่าวอาวุโสซึ่งทำข่าวต่างประเทศโดยเน้นไปที่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทั้งยังเป็นผู้แต่งหนังสือเมื่อปี 2018 ในชื่อ “ Invisible Countries : Journeys to the Edge of Nationhood “ ซึ่งอธิบายความขัดแย้งตามแนวพรมแดน ประเทศที่ไม่ถูกยอมรับและการเปลี่ยนแปลงของแผนที่โลก ล่าสุด บทความของเขาโพสต์ลงในเว็บไซต์ Vox ระบุว่า แม้การก่อการร้ายในรัสเซียครั้งนี้ จะไม่ได้เชื่อมโยงกับสงครามยูเครนโดยตรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย
บทความระบุว่า พบข้อพิรุธบางอย่าง เมื่อสถานทูตสหรัฐในกรุงมอสโกของรัสเซีย ประกาศเตือนเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ( 2024 ) แนะนำให้พลเมืองขาวอเมริกันหลีกเลี่ยงการรวมตัว เพราะมีรายงานว่า กลุ่มหัวรุนแรงมีแผนจะก่อเหตุพุ่งเป้าไปที่จุดที่มีการรวมตัวของผู้คนเป็นจำนวนมากในกรุงมอสโก ซึ่งก็รวมถึงงานคอนเสิร์ต และเมื่อช่วงต้นเดือนนี้เช่นกัน ที่ทางการรัสเซียออกมาอ้างว่า ได้ทำลายแผนการของกลุ่ม ISIS ที่มีแผนจะโจมตีสุเหร่าในกรุงมอสโก
ส่วนเหตุก่อการร้ายครั้งนี้ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ระบุว่า ได้จับกุมไป 11 คน โดยมีอยู่ 4 คนในนี้ ที่แทรกซึมเข้ามาก่อเหตุ แล้วหนีไป แต่ถูกทางการรัสเซียตามจับมาได้ และสี่คนนี้ไม่ใช่คนรัสเซีย
นักวิเคราะห์ก่อการร้ายประจำ Soufan Center อ้างถึงหลักฐานที่พบว่า มือปืนสี่คนนี้ มีประสบการณ์และได้รับการฝึกมาอย่างดี เพราะถ้าดูจากวีดีโอการก่อเหตุ วิธีการยิงของพวกเขา และแม้กระทั่งการเว้นระยะห่างของพวกเขาระหว่างก่อเหตุ มันชัดเจนเลยว่า ได้รับการฝึกมาอย่างดี พวกเขาดูไม่เหมือนคนหนุ่มทั่วไปที่เข้ามาร่วมกลุ่ม ISIS ตามแรงโหมโฆษณาชวนเชื่อและตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง
แต่ก็มีคำถามตามมาว่า ทำไมรัสเซียถึงไม่คิดว่า กลุ่ม ISIS ทำ ทั้งที่กลุ่มนี้มีจุดยืนต่อต้านรัสเซียย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยสงครามโซเวียตในอัฟกานิสถาน เมื่อช่วงทศวรรษที่ 1980 อีกทั้งรัสเซียก็มีแนวคิดกวาดล้างกลุ่มต่อต้านในเชชเนียและนอร์ธคอเคซัสอย่างเหี้ยมโหดเมื่อช่วงทศวรรษที่ 1990 และ 2000 ทั้งยังสนับสนุนรัฐบาลของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล อัสสาด ในซีเรียอีกด้วย กลุ่ม ISIS ยังเคยก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีสถานทูตรัสเซียในกรุงคาบูลของอัฟกานิสถานมาแล้วในปี 2022
ซึ่งถ้าอธิบายอย่างง่ายๆ ก็คือ ถ้าประธานาธิบดี ปูติน ยอมรับว่า ISIS เป็นคนทำ ก็อาจทำให้เขาเสียหน้าเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้ สหรัฐเคยเตือนแล้วว่า จะเกิดเหตุโจมตีในไม่ช้า แต่ดูว่า ปูตินเพิกเฉยกับคำเตือน และเขายังไม่ใส่ใจกับคำขู่ที่จะทำลายสังคมรัสเซียอีกด้วย ซึ่งถ้าพูดกันตามตรง สหรัฐยังเคยเตือนชาวโลกถึงแผนการรบของรัสเซีย ก่อนที่จะบุกยูเครนในปี 2022 ดูเหมือนว่า สายลับของอเมริกาจะรู้เรื่องราวในรัสเซียมากกว่าฝ่ายความมั่นคงของปูตินเองเสียอีก
แถลงการณ์ล่าสุดของปูติน เขาพูดเป็นนัยราวกับว่า การโจมตีครั้งนี้เชื่อมโยงกับยูเครน โดยบอกว่า ผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมในเขต Bryansk ทางตะวันตก ซึ่งมีพรมแดนติดกับยูเครน และจากข้อมูลในเบื้องต้น ดูเหมือนว่า ผู้ต้องสงสัยพร้อมจะข้ามแดนไปยูเครน
แต่จนถึงตอนนี้ รัฐบาลรัสเซียยังไม่ได้นำเสนอหลักฐานใดใดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงนี้ ยังไม่มีวีดีโอที่แสดงให้เห็นผู้ต้องสงสัยมีความเชื่อมโยงกับยูเครน แต่ก็มีข้อบ่งชี้บางประการว่า ผู้ต้องสงสัยอาจจะกำลังหนีไปเบลารุส ซึ่งมีพรมแดนติดกับ Bryansk เพราะจากรายงานของสำนักข่าวในลัตเวียซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัสเซีย อ้างถึงเจ้าหน้าที่สื่อของรัฐบาลรัสเซียว่า ตอนนี้ สื่อในรัสเซียได้รับคำสั่งให้เน้นย้ำถึงความเป็นไปได้ที่ยูเครนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีนี้ ซึ่งทางการยูเครนออกมาปฏิเสธแล้วว่า ไม่จริง และยังกล่าวหารัสเซียจงใจก่อเรื่องขึ้นเอง เพื่อหาเหตุโจมตียูเครนหนักขึ้น
แต่เป็นที่น่าสนใจในอีกประเด็นก็คือ คำเตือนของสหรัฐที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยส่งผ่านมาทางสถานทูตสหรัฐ ซึ่งตามปกติ หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐจะยึดนโยบายที่ว่า “ มีหน้าที่ต้องเตือน “ ไม่ว่าเหยื่อที่โดนจะเป็นคนอเมริกันหรือไม่ก็ตาม สหรัฐเคยเตือนรัฐบาลอิหร่านเป็นการส่วนตัวแล้วก่อนที่ ISIS จะก่อเหตุระเบิดเมื่อเดือนมกราคม แต่ในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่รัสเซียและสื่อในสังกัดกลับมองคำเตือนว่า เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า สหรัฐมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ส่วนจุดยืนของกลุ่ม ISIS นั้น ค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย เพราะแม้ทางกลุ่มจะไม่ชื่นชอบรัสเซียนัก แต่ในสงครามที่รัสเซียกำลังสู้กับตะวันตก กลุ่ม ISIS กลับโหมโฆษณาชวนเชื่อว่า ต้อนรับสงครามในยูเครน โดยหวังว่า จะช่วยทำลายศัตรูของ ISIS ให้สิ้นซากทั้งหมด
นักวิเคราะห์มองว่า ISIS เกลียดชังทั้ง อิหร่าน สหรัฐ และรัสเซีย ด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป เพราะอย่างการโจมตีอิหร่านเมื่อเดือนมกราคม ในเบื้องต้นอิหร่านก็พุ่งเป้าตำหนิไปที่สหรัฐและอิสราเอล ทั้งที่ ISIS ออกมาอ้างความรับผิดชอบและทางกลุ่มก็มีประวัติโจมตีเป้าหมายในอิหร่านมานาน
ตามปกติ ถ้าเกิดเหตุทำนองนี้ ก็คาดว่า รัสเซียจะต้องดำเนินนโยบายแก้แค้นอย่างโหดเหี้ยมต่อกลุ่มที่ลงมือก่อเหตุ อย่างที่เคยทำในคอร์เคซัสมาแล้ว แต่ในครั้งนี้ อาจเป็นเพราะสงครามในยูเครน ที่ทำให้กองทัพรัสเซียและฝ่ายความมั่นคงไม่มีกำลังคนมากพอที่จะจัดการ จึงทำได้แค่การออกมาขู่ในเบื้องต้นว่า จะเล่นงานยูเครน ส่วนทางเจ้าหน้าที่รัสเซียก็เรียกร้องให้รัสเซียนำโทษประหารชีวิตกลับมาใช้ใหม่
By IMCTNews
© Copyright 2020, All Rights Reserved